- 01) Executive Talk: Educating Health Systems Science in a Medical School (38 views)
- 02) Teaching Health Systems Science and Systems Thinking for Complex Problem-Solving in Health Systems (64 views)
- 03) ปัจจัยสำคัญที่มีอิทธิพลต่อการหล่อหลอมบัณฑิตแพทย์ให้เป็นผู้สร้างการเปลี่ยนแปลง และวิธีการจัดการเรียนการสอนสำหรับศาสตร์ระบบสุขภาพ (35 views)
- 04) Teaching Health Systems Science (HSS) in Postgraduate Education (35 views)
- 05) Assessment of Health Systems Science Competencies in Medical Schools (84 views)
- 06) Message from Deputy Dean (27 views)
- 07) Students’ voice: Students' Perspectives on Lesson in Health Systems Science (18 views)
- 08) เชิด - ชู: บทสัมภาษณ์ผู้ได้รับรางวัลทุนเจ้าพระยาพระเสด็จสุเรนทราธิบดี ประจำปี 2566 (18 views)
- 09) สับ สรรพ ศัพท์: ระบบนิเวศของการดูแลสุขภาพ, การดูแลรักษาแบบเน้นคุณค่า, สุขภาพประชากร, และวิธีคิดเชิงระบบ (26 views)
- 10) Educational movement: Health Systems Science Education in Thai Health Science Schools (22 views)
- 11) SHEE sharing: แพทย์ยุคใหม่กับแนวคิดพลเมืองของระบบสุขภาพ (19 views)
- 12) SHEE Research - Considering the Belmont Report in Health Science Education Research (2): Justice (21 views)
- 13) Click&Go with Technology - How Should We Teach Health Systems Science in the Age of Artificial Intelligence (30 views)
- 14) SHEE Podcast (23 views)
- 15) Gallery (20 views)
10
Health Systems Science Education in Thai Health Science Schools
ผู้อำนวยการศูนย์ความเป็นเลิศด้านการศึกษาวิทยาศาสตร์สุขภาพ (SHEE)
คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล

ปัญหาสำคัญที่เป็นอุปสรรคในการสอน health systems science ในทุกโรงเรียนแพทย์คือ อาจารย์ส่วนใหญ่ไม่รู้จักว่า health systems science คืออะไร ต้องสอนอย่างไร การจะมีนโยบายใดก็ตามที่จะเพิ่มการสอนเรื่องนี้ให้นักเรียนแพทย์ หรือแพทย์ประจำบ้านพึงต้องเริ่มจากการพัฒนาอาจารย์ให้มีความรู้ ความเข้าใจในศาสตร์นี้อย่างดีเสียก่อน โรงเรียนแพทย์อาจจัดการอบรมให้ความรู้ (โดยอาจทำเป็นการอบรมในห้องเรียน หรือ ศึกษาผ่านการดูสื่อการศึกษาผ่านทางระบบ online learning ก็ได้) หรือ จัดทำคู่มือการสอนในหัวข้อที่เกี่ยวกับ health systems science ซึ่งเป็นหัวข้อที่อาจารย์อาจไม่ค่อยคุ้นชิน เพื่อเป็นแนวทางในการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ให้นักศึกษา ที่สำคัญคือสถาบันการศึกษาต้องหาแนวทางในการสร้างแรงจูงใจให้อาจารย์แพทย์มาเข้าเรียน หรือศึกษาสิ่งเหล่านี้ ต้องไม่สร้างความรู้สึกว่าทำไปแล้วมีแต่จะเพิ่มงานเป็นภาระให้ตนโดยที่ไม่ได้ผลตอบแทนใดๆ

คำสำคัญในข้อนี้คือ คำว่า Integrate ที่มีความจำเป็นมากในการ transform ผู้เรียนจากที่ไม่เคยคิดถึง health systems science มาก่อน ไปสู่คนที่มีความคิดเชิงระบบตลอดเวลา แนวทางการสอนที่มีการจัดคาบเรียนหัวข้อที่เกี่ยวกับ health system ไม่กี่คาบ สอนโดยผู้เชี่ยวชาญไม่กี่คน สามารถช่วยสร้างความตระหนักรู้ในผู้เรียนได้จริง แต่เมื่อจบคาบเรียนนั้น ผู้เรียนกลับไปทำงานและเรียนหนังสือกับอาจารย์ท่านอื่นซึ่งไม่ได้สอนหรืออภิปรายเกี่ยวกับ health systems science อีกเลย องค์ความรู้เกี่ยวกับ health systems science จึงกลายเป็น insert knowledge และในที่สุดก็จะลืมไป เพราะนอกห้องเรียน ไม่เคยเห็นแพทย์คนใดใช้กระบวนการคิดแบบ health systems science เลย การจะทำให้การสอน health systems science มีผลสู่การปฏิบัติกับผู้ป่วยจริง เราก็ต้องวางนโยบายให้อาจารย์ผู้สอนทางคลินิกช่วยกันในทุกวิชา ที่จะดึงเอาเรื่อง health system science มาสอดแทรกไปในการสอนของตนมากที่สุดเท่าที่สอดแทรกได้ ทำให้เป็นส่วนหนึ่งของการดูแลรักษาผู้ป่วยที่ต้องปฏิบัติเป็นปกติ ไม่ต่างจากทักษะการซักประวัติ ตรวจร่างกาย
กระบวนการดูแลรักษาคนไข้ที่ทำในโรงเรียนแพทย์ มักมีความแตกต่างไปจากกระบวนการที่ทำในโรงพยาบาลส่วนใหญ่ที่แพทย์ต้องไปทำงานหลังจบการศึกษา การจัดประสบการณ์ให้ผู้เรียนได้มีโอกาสปฏิบัติงานในโรงพยาบาลระดับอื่นที่รับดูแลปัญหา primary care, secondary care อย่างเหมาะสม จะทำให้ผู้เรียนตระหนักรู้ถึงความสำคัญของการเข้าใจระบบสุขภาพ และพัฒนาทักษะที่จำเป็นในการทำงานร่วมกับสหสาขาวิชาชีพ รวมทั้งคำนึงถึงปัจจัยทางสังคมที่มีผลกระทบต่อสุขภาพด้วย โรงเรียนแพทย์ควรจัดหลักสูตรให้มีช่วงเวลาปฏิบัติงานในโรงพยาบาลร่วมสอนมากขึ้นทั้งในรายวิชาบังคับ และวิชาเลือกเสรี และควรชี้แจงให้ผู้เรียนทุกคนรับรู้ว่า เป้าหมายของการไปปฏิบัติงานนอกโรงเรียนแพทย์คืออะไร ต้องการให้เรียนรู้อะไรในด้าน health system science จากประสบการณ์นอกโรงเรียนแพทย์บ้าง หากไม่สร้างความเข้าใจให้ดี อาจมีผู้เรียนบางส่วนรู้สึกเบื่อหน่ายว่าการมาปฏิบัติงานนอกโรงเรียนแพทย์ไม่ได้ประโยชน์ เพราะไปสนใจที่ความรู้และทักษะการตรวจรักษาโรคแบบที่เคยทำมาในขณะที่อยู่ในโรงเรียนแพทย์
ปัญหาในการบริหารจัดการที่ต้องอาศัยสมรรถนะทาง health systems science หลายเรื่องเป็นสิ่งที่พบได้ไม่บ่อย การคาดหวังว่าผู้เรียนจะได้เรียนรู้สิ่งเหล่านี้จากการทำงานจริงอาจเป็นไปได้ยาก ดังนั้นการเสริมประสบการณ์ที่พบไม่บ่อยควรทำในรูปแบบของสถานการณ์จำลอง ตัวอย่างเช่น สถานการณ์ที่แพทย์ต้องจัดสรรทรัพยากรให้ผู้ป่วยในช่วงที่มีความขาดแคลน การประสานงานและสั่งการเมื่อมีสถานการณ์โรคระบาดเกิดขึ้นในพื้นที่ เป็นต้น แนวทางการเรียนรู้ด้วยสถานการณ์จำลองสามารถทำได้หลายรูปแบบ ตั้งแต่ทำเป็น case scenario ที่นักศึกษาทำการตัดสินใจแก้ปัญหาผ่านระบบ computer หรือจัดสถานการณ์ให้นักศึกษารับบทบาทต่างๆในทีมบริการ แล้วแสดงบทบาทสมมติ (role play) ในการทำงานในสถานการณ์ดังกล่าว หรือจะมีการจัดหาผู้ป่วยมาตรฐาน (standardized patient) มาร่วมในการฝึกทักษะการทำงานในสถานการณ์เหล่านี้ด้วยก็ได้ ไม่ว่าจะจัดทำสถานการณ์จำลองในรูปแบบใดก็ตาม สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยคือ อาจารย์ผู้ดูแลที่จะต้องทำการ debrief หลังจากที่นักศึกษาได้ผ่านสถานการณ์จำลองแล้ว เพื่อถอดบทเรียนว่านักศึกษาได้เรียนรู้อะไร มีทักษะที่เกี่ยวกับ health systems science อะไรบ้างที่นักศึกษาสามารถนำมาใช้ได้

ในระบบบริการสุขภาพที่มีความซับซ้อนมากขึ้นเรื่อย ๆ เป็นไปไม่ได้เลยที่แพทย์จะสามารถทำงานเพียงลำพัง โดยไม่ต้องอาศัยบุคลากรวิชาชีพอื่นๆมาช่วย สมรรถนะหนึ่งที่สำคัญมากใน health systems science คือการทำงานร่วมกัน ซึ่งโรงเรียนแพทย์พึงหาโอกาสจัดประสบการณ์การเรียนรู้ในรูปแบบ interprofessional education (IPE) ให้เกิดขึ้น ซึ่งจะเป็น safe learning environment ให้ผู้เรียนได้รู้บทบาทหน้าที่ ในการทำงานของวิชาชีพต่างๆ และรู้ว่าจะประสานงานกันอย่างไรจึงจะนำไปสู่การทำงานที่มีประสิทธิภาพที่สุด
องค์ความรู้ และทักษะใด ๆ ที่อาจารย์สอนแล้วไม่ทำการประเมิน ก็มีแนวโน้มว่าผู้เรียนจำนวนไม่น้อยอาจไม่ให้ความสนใจที่จะพัฒนาความรู้ และทักษะ ในด้านนั้นๆ อย่างจริงจัง ดังนั้นการออกแบบกระบวนการประเมินผลการเรียนรู้จึงเป็นกลไกที่สถาบันการศึกษาต้องวางแผนควบคู่กันไปด้วยเสมอ อย่างไรก็ดี การประเมินสมรรถนะของผู้เรียนใน health system science มักไม่ค่อยเหมาะกับการประเมินด้วยข้อสอบข้อเขียน (MCQ, MEQ, Essay questions) แนวทางการประเมินที่น่าจะเหมาะสมกว่าน่าจะมุ่งเน้นไปที่การประเมินจากสถานการณ์การทำงานจริง (workplace-based assessment) ด้วยหลากหลายเครื่องมือ เช่น Mini - CEX (Mini - Clinical Evaluation exercise), DOPS (Direct Observation of Procedural Skills, CbD (Case - based Discussion) โดยเป้าหมายจะเน้นไปที่ formative assessment เพื่อที่จะได้เห็นจุดบกพร่องของผู้เรียนและให้ข้อมูลป้อนกลับ (feedback) เพื่อไปพัฒนาตนเอง ประเด็นสำคัญ คือ หากต้องการนำเครื่องมือเหล่านี้ ที่แรกเริ่มมุ่งเน้นไปที่การประเมิน competency ทาง clinical skills เมื่อจะนำมาใช้เพื่อประเมินสมรรถนะทาง health systems science อาจารย์แพทย์อาจพิจารณาปรับเพิ่มหัวข้อที่อยู่ในใบประเมินให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ด้วย และตอน debrief หลังจากประเมินแล้วก็ต้องเน้นให้อาจารย์ผู้ควบคุมการประเมินสอดแทรกประเด็นเกี่ยวกับ health systems science เข้าไปด้วย

ผู้เขียนเชื่อว่าแนวทางในการบริหารจัดการต่าง ๆ ข้างต้น เป็นสิ่งที่จะช่วยให้ผู้เรียนเกิดความตระหนักรู้ถึงความสำคัญของการเรียนรู้เกี่ยวกับ health systems science ให้มากขึ้น และพัฒนาทักษะที่เกี่ยวข้องอย่างมีประสิทธิภาพ แต่จุดสำคัญคือไม่มีทางที่โรงเรียนแพทย์แห่งใดจะทำสำเร็จได้หากอาจารย์ไม่ช่วยกัน การจะอาศัยผู้สนใจ หรือมี passion ในเรื่องนี้เพียงหนึ่งหรือสองคนต่อหนึ่งโรงเรียนแพทย์ ต่อให้มุ่งมั่นตั้งใจเพียงใด ก็ไม่มีทางสำเร็จได้ ผู้บริหารการศึกษาของโรงเรียนแพทย์พึงต้องวางนโยบายที่ช่วยผลักดันให้อาจารย์ส่วนใหญ่ในสถาบันต้องปรับเปลี่ยนกระบวนการจัดการเรียนการสอน และประเมินผู้เรียนตามข้อแนะนำข้างต้น จึงจะเห็นความเปลี่ยนแปลงในผู้เรียนที่ชัดเจนและยั่งยืน
รศ. ดร. นพ.เชิดศักดิ์ ไอรมณีรัตน์
ผู้อำนวยการศูนย์ความเป็นเลิศด้านการศึกษาวิทยาศาสตร์สุขภาพ (SHEE)
คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล
email :