03) ปัจจัยสำคัญที่มีอิทธิพลต่อการหล่อหลอมบัณฑิตแพทย์ให้เป็นผู้สร้างการเปลี่ยนแปลง และวิธีการจัดการเรียนการสอนสำหรับศาสตร์ระบบสุขภาพ

สารบัญ
Go Back

03

ปัจจัยสำคัญที่มีอิทธิพลต่อการหล่อหลอมบัณฑิตแพทย์ให้เป็นผู้สร้างการเปลี่ยนแปลง (Change Agent) และวิธีการจัดการเรียนการสอน (Teaching Methods) สำหรับศาสตร์ระบบสุขภาพ (Health Systems Science)

พญ. เพ็ญนภา กวีวงศ์ประเสริฐ
ภาควิชาเวชศาสตร์ป้องกันและสังคม
คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล
Image
          ต่อเนื่องจากบทความของ รศ. ดร. นพ.บวรศม  ลีระพันธ์ Teaching Health Systems Science and Systems Thinking for Complex Problem-Solving in Health Systems ที่ได้กล่าวถึง บทบาทสำคัญของโรงเรียนแพทย์ในการสร้างบัณฑิตแพทย์ ผู้ที่จะเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของระบบสุขภาพอันซับซ้อนและผันผวนของประเทศไทย ซึ่งปัจจุบันกำลังเผชิญกับความท้าทายหลายประการ เช่น การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรและข้อจำกัดด้านงบประมาณของประเทศ ดังนั้น การสร้างบัณฑิตแพทย์ให้มีศักยภาพในการเป็นผู้แก้ไขปัญหา (problem solver) และ ผู้สร้างการเปลี่ยนแปลง (change agent) แทนที่จะเป็นเพียงผู้ที่ได้รับผลกระทบจากระบบ (victim) จึงถือเป็นปัจจัยสำคัญอย่างยิ่งต่อความยั่งยืนของระบบสุขภาพของประเทศ บทความนี้จึงมีวัตถุประสงค์สองประการหลัก ดังนี้

          1. เพื่อวิเคราะห์และสังเคราะห์ปัจจัยสำคัญที่มีอิทธิพลต่อการหล่อหลอมบัณฑิตแพทย์ให้เป็นผู้สร้างการเปลี่ยนแปลง โดยพิจารณาผ่านกรอบแนวคิดเชิงเปรียบเทียบว่า หากเป้าหมายคือการสร้างแพทย์ให้เป็น ผู้นำการเปลี่ยนแปลง (change agent) หรือเปรียบเสมือน "ต้นไม้ใหญ่" ที่ให้ร่มเงาและเป็นที่พึ่งพิงแก่ประชาชนและระบบสาธารณสุขได้นั้น กระบวนการจะต้องเริ่มต้นตั้งแต่:

          • การคัดเลือก "เมล็ดพันธุ์": ซึ่งเปรียบได้กับปัจจัยก่อนเข้าศึกษา ที่นักศึกษาแต่ละคนมีติดตัวมา
          • "การดูแลบ่มเพาะ": หมายถึง ปัจจัยภายในโรงเรียนแพทย์ ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการหล่อหลอมนักศึกษาให้กลายเป็น "ต้นกล้า" ที่แข็งแรง
          • "สภาพแวดล้อม": คือ ปัจจัยภายนอกและบริบทของระบบสุขภาพ ที่ต้นกล้าเหล่านี้ต้องเผชิญและเติบโตต่อไป
          2. เพื่อนำเสนอและขยายความถึง "วิธีการจัดการเรียนการสอน" (teaching methods) สำหรับศาสตร์ระบบสุขภาพ (Health Systems Science) ที่มีความหลากหลาย ตั้งแต่การเรียนในชั้นเรียนไปจนถึงบริบททางคลินิกจริง ซึ่งวิธีการเหล่านี้เปรียบเสมือนเครื่องมือสำคัญในกระบวนการบ่มเพาะและเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้ต้นกล้า พร้อมที่จะเติบโตเป็นผู้สร้างการเปลี่ยนแปลงที่เข้มแข็งในอนาคต
Image
ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการสร้างบัณฑิตแพทย์ในฐานะผู้สร้างการเปลี่ยนแปลง (Change Agent) ในระบบสุขภาพ

          ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการหล่อหลอมบัณฑิตแพทย์ให้มีศักยภาพในการเป็น "ผู้สร้างการเปลี่ยนแปลง" (change agent) ในระบบสุขภาพ ซึ่งเป็นบทบาทที่นอกเหนือไปจากการบริบาลผู้ป่วยรายบุคคล แต่ครอบคลุมถึงความสามารถในการวิเคราะห์ปัญหาและขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงเชิงระบบสุขภาพที่ตนเองเข้าไปมีส่วนร่วมได้ ซึ่งอาจเป็นระบบสุขภาพระดับจุลภาค ระดับกลาง หรือ ระดับมหาภาค   (micro , meso , macro -level health systems) สามารถจำแนกปัจจัยดังกล่าวได้เป็น 3 มิติหลัก ได้แก่ (1) ปัจจัยก่อนเข้าศึกษาในโรงเรียนแพทย์ ซึ่งเป็นคุณลักษณะเฉพาะบุคคลของผู้เรียน (2) ปัจจัยภายในโรงเรียนแพทย์และสถาบันการศึกษา ซึ่งครอบคลุมการออกแบบหลักสูตร ประสบการณ์เรียนรู้ และวัฒนธรรมองค์กร และ (3) ปัจจัยภายนอก ซึ่งหมายถึงบริบททางสังคมและโครงสร้างของระบบสาธารณสุขโดยรวม

ตารางสรุปปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการสร้างบัณฑิตแพทย์ในฐานะผู้สร้างการเปลี่ยนแปลง

มิติของปัจจัย
ปัจจัยหลัก
ประเด็นสำคัญ
1. ปัจจัยก่อนเข้าศึกษา (pre-medical school)
คุณลักษณะเฉพาะบุคคล (individual attributes)
  • ทุนตั้งต้น: แรงจูงใจ, ค่านิยม, และประสบการณ์เดิมของนักศึกษาเป็นพื้นฐานสำคัญ
  • อัตลักษณ์: การมีมุมมองต่อตนเองในฐานะ "ผู้สนับสนุน" และ "ผู้นำ" นอกเหนือจากการเป็นผู้รักษา
2. ปัจจัยภายในโรงเรียนแพทย์ (intra-medical school)
การออกแบบหลักสูตร (intentional curriculum)
  • สมรรถนะหลัก: บรรจุ "ความเป็นผู้สร้างการเปลี่ยนแปลง" (change agency) ในหลักสูตรอย่างเป็นทางการ
  • การบูรณาการ: ผสานศาสตร์ระบบสุขภาพ (HSS) เข้ากับวิทยาศาสตร์พื้นฐานและคลินิก
  • ภาวะผู้นำ: พัฒนาทักษะผู้นำอย่างต่อเนื่องตลอดหลักสูตร
ประสบการณ์เรียนรู้ (learning experiences)
  • การเรียนรู้เชิงรุก: เน้นการเรียนรู้ที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง (transformative) ผ่านการแก้ปัญหาจริง
  • บทบาทที่สร้างคุณค่าเพิ่ม: ให้นักศึกษามีส่วนร่วมเชิงรุกในระบบ (value-added roles) เช่น patient navigator, โครงการพัฒนาคุณภาพ (QI)
  • กิจกรรมนอกหลักสูตร: ส่งเสริมการเรียนรู้ผ่านโครงการอาสาสมัครและเวทีนโยบาย
การมีพี่เลี้ยงและต้นแบบ (mentorship & role models)
  • อาจารย์ต้นแบบ: คณาจารย์ต้องเป็นแบบอย่างในการคิดเชิงระบบ (systems thinking) และการสร้างนวัตกรรม
  • ปฏิสัมพันธ์: การทำงานร่วมกับทีมสหสาขาวิชาชีพช่วยสร้างทักษะการสร้างเครือข่าย
วัฒนธรรมและโครงสร้างสถาบัน (institutional culture & structure)
  • สภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวย: สถาบันต้องมีทรัพยากรสนับสนุนและให้การยอมรับโครงการของนักศึกษา
  • การจัดการอุปสรรค: ต้องเอาชนะข้อจำกัดเรื่องภาระงาน, เวลา, และระบบการประเมินผลที่ไม่เอื้ออำนวย
  • หลักสูตรแฝง: ออกแบบ "hidden curriculum" เพื่อส่งเสริมค่านิยมด้านการพัฒนาระบบ
3. ปัจจัยภายนอก (external factors)
ระบบสาธารณสุขและบริบทสังคม (health system & social context)
  • กลไกส่งเสริม (enabler): นโยบายที่เปิดกว้าง, กลไกทางการเงินที่สอดคล้อง, และการยอมรับบทบาทแพทย์ในฐานะ health advocate
  • อุปสรรค (barrier): โครงสร้างที่ตายตัว, วัฒนธรรมที่เน้นการแพทย์เชิงชีวภาพ, ภาระงานหนัก และบรรทัดฐานเชิงลำดับชั้น
ส่วนที่ 1: ปัจจัยก่อนเข้าศึกษาในโรงเรียนแพทย์ (Pre-Medical School Factors)
          คุณลักษณะเฉพาะบุคคล (individual attributes) ของผู้เรียนก่อนเข้าสู่กระบวนการแพทยศาสตรศึกษา ถือเป็นปัจจัยพื้นฐานที่มีนัยสำคัญต่อการพัฒนาศักยภาพในการเป็นผู้สร้างการเปลี่ยนแปลง ปัจจัยเหล่านี้ประกอบด้วยแรงจูงใจ, ค่านิยม และความเชื่อมั่นในตนเอง (self-efficacy) ของนักศึกษา ประสบการณ์เดิม เช่น การเคยเป็นผู้นำ หรือการได้สัมผัสกับปัญหาในชุมชนที่ขาดแคลน ล้วนเป็นทุนเดิมที่ส่งเสริมให้เกิดความสนใจในบทบาทเชิงนโยบายและการพัฒนาระบบ ดังนั้นกระบวนการคัดเลือกเพื่อเข้าสู่โรงเรียนแพทย์จึงมีความสำคัญ และเมื่อเข้าส่วนโรงเรียนแพทย์ ควรมีการจัด กระบวนการสร้างอัตลักษณ์แห่งวิชาชีพ (Professional Identity Formation) ที่ทำให้นักศึกษามีมุมมองต่อตนเองในฐานะผู้สนับสนุน (advocate) และผู้นำควบคู่ไปกับการเป็นแพทย์ผู้รักษา ถือเป็นปัจจัยตั้งต้นที่สำคัญอย่างยิ่ง [1]
ส่วนที่ 2: ปัจจัยภายในโรงเรียนแพทย์และสถาบันการศึกษา (Intra-Medical School Factors)
          บทบาทของโรงเรียนแพทย์มีความสำคัญอย่างยิ่งในการหล่อหลอมนักศึกษาให้เป็นผู้สร้างการเปลี่ยนแปลง โดยสามารถสรุปปัจจัยสำคัญได้ 4 ด้านหลัก ดังนี้
          2.1 การออกแบบหลักสูตรอย่างมีเป้าประสงค์ (Intentional Curriculum Design) หลักสูตรต้องถูกออกแบบให้ชัดเจน โดยกำหนดให้ "การเป็นผู้สร้างการเปลี่ยนแปลง" เป็นสมรรถนะหลัก ไม่ใช่แค่วิชาเลือก มีการบูรณาการศาสตร์ระบบสุขภาพ (Health Systems Science) เข้ากับการแพทย์พื้นฐานและคลินิกอย่างเป็นระบบ พร้อมทั้งสอดแทรกการพัฒนาทักษะความเป็นผู้นำอย่างต่อเนื่องตลอดการศึกษา [2,3,4]
          2.2  การเรียนรู้ผ่านประสบการณ์จริงและการเรียนรู้เชิงเปลี่ยนแปลง (Experiential & Transformative Learning) เป้าหมายต้องเปลี่ยนจากการให้ความรู้ (informative) ไปสู่ การเรียนรู้ที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง (transformative) โดยเปลี่ยนบทบาทนักศึกษาจาก "ผู้สังเกตการณ์" มาเป็น "ผู้มีส่วนร่วม" ที่สร้างคุณค่าให้ระบบสุขภาพได้จริง เช่น การทำโครงการพัฒนาคุณภาพในโรงพยาบาล หรือการลงพื้นที่ทำงานในชุมชน ซึ่งกิจกรรมเหล่านี้ช่วยพัฒนาทักษะการคิดเชิงระบบและความเข้าใจในปัญหาได้อย่างลึกซึ้ง [1,3,4]  โดยควรสนับสนุนทั้งกิจกรรมในและนอกหลักสูตร ซึ่งเนื้อหาส่วนนี้จะนำไปขยายความในส่วนที่สองของบทความนี้
Image
โครงการ Thailand Devloper 2023 การแข่งขันนวัตกรรมด้านสุขภาพในรูปแบบ Hackathon เพื่อออกแบบและพัฒนานวัตกรรมสู่ชุมชน ภายใต้หัวข้อ “Sprint To The Powerful Society For Fragile People ชุมชนที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของคนกลุ่มเปราะบาง“ โดย สหพันธ์นิสิตนักศึกษาแพทย์แห่งประเทศไทยฯ (สพท.) ร่วมกับ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
Image
Health Capacity Building for Medical Students 2024 โดยการสร้างความร่วมมือระหว่างโรงเรียนแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญทางด้าน Global Health ซึ่งจัดทำโดยนักศึกษาแพทย์จากสามสถาบัน ได้แก่คณะแพทยศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดีมหาวิทยาลัยมหิดล และคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาลมหาวิทยาลัยมหิดล
          2.3 คณาจารย์ต้นแบบและระบบพี่เลี้ยง (Role Models & Mentorship) การมีอาจารย์แพทย์ที่เป็นแบบอย่างในการคิดเชิงระบบและลงมือสร้างนวัตกรรม พร้อมทั้งมีระบบพี่เลี้ยง (mentorship) ที่เข้มแข็ง ถือเป็นปัจจัยสำคัญอย่างยิ่งในการสร้างแรงบันดาลใจและหล่อหลอมอัตลักษณ์ของนักศึกษาให้เป็นผู้สร้างการเปลี่ยนแปลงในอนาคต [1] ดังนั้น จึงมีความจำเป็นอย่างมากที่โรงเรียนแพทย์ต้องมีการลงทุนในการพัฒนาอาจารย์แพทย์ให้มีความสามารถในการคิดเชิงระบบและลงมือสร้างการเปลี่ยนแปลง

          2.4 วัฒนธรรมและโครงสร้างองค์กรที่สนับสนุน (Supportive Culture & Structure) สถาบันต้องสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวย ทั้งในด้านทรัพยากรและการยอมรับโครงการของนักศึกษา ขณะเดียวกันก็ต้องจัดการกับอุปสรรคภายใน เช่น ภาระงานที่มากเกินไป หรือการประเมินผลที่เน้นแต่ความรู้ทางคลินิก นอกจากนี้ "หลักสูตรแฝง (hidden curriculum)" หรือวัฒนธรรมองค์กรโดยรวม ต้องส่งเสริมค่านิยมด้านการพัฒนาระบบอย่างแท้จริง [1]

ส่วนที่ 3: ปัจจัยภายนอกและบริบททางระบบสุขภาพ (External Factors and Health System Context)
          บริบทของระบบสุขภาพแห่งชาติเป็นปัจจัยภายนอกที่สำคัญที่สุดในการหล่อหลอมบัณฑิตแพทย์ ซึ่งทำหน้าที่เปรียบเสมือน "ดาบสองคม"

          ด้านหนึ่ง ระบบที่สนับสนุนการพัฒนาคุณภาพจะสร้าง "โอกาส" ให้นักศึกษาได้ฝึกฝนทักษะการเป็นผู้นำและการสร้างการเปลี่ยนแปลง [5] แต่ในทางกลับกัน ระบบสุขภาพก็สามารถเป็น "อุปสรรค" สำคัญได้เช่นกัน ผ่านโครงสร้างที่ตายตัว, วัฒนธรรมที่มุ่งเน้นแต่การรักษามากกว่าปัจจัยทางสังคม, และภาระงานที่หนักหน่วง ปัจจัยเหล่านี้บั่นทอนแรงจูงใจและจำกัดศักยภาพของแพทย์ในการพัฒนาระบบในภาพรวม [6,7]

          ท้ายที่สุดแล้ว แม้โรงเรียนแพทย์จะบ่มเพาะ "ต้นกล้า" ที่ดีเพียงใด แต่หากต้องเติบโตในสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้ออำนวย ก็อาจทำให้แพทย์รุ่นใหม่ที่มีอุดมการณ์แรงกล้าต้องเผชิญกับภาวะหมดไฟ ยอมจำนน หรือลาออกจากระบบไป ดังนั้น การสร้างแพทย์ให้เป็น "ผู้สร้างการเปลี่ยนแปลง" จึงไม่ได้เป็นหน้าที่ของสถาบันการศึกษาเพียงอย่างเดียว แต่เป็นความรับผิดชอบของทุกภาคส่วนในการสร้างระบบนิเวศที่เกื้อหนุนให้พวกเขาสามารถเติบโตและสร้างประโยชน์ให้แก่ส่วนรวมได้อย่างเต็มศักยภาพ
วิธีการจัดการเรียนการสอน (Teaching Methods) สำหรับศาสตร์ระบบสุขภาพ (Health Systems Science)

          ต่อเนื่องจากบทความของ รศ. ดร. นพ.บวรศม  ลีระพันธ์ Teaching Health Systems Science and Systems Thinking for Complex Problem-Solving in Health Systems ที่ได้จำแนกองค์ความรู้ด้านศาสตร์ระบบสุขภาพ (Health Systems Science) ออกเป็น 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ ขอบเขตความรู้หลัก (core domains), ขอบเขตความรู้ข้ามสาขา (cross-cutting domains) และ ขอบเขตความรู้เพื่อการประยุกต์ใช้ (linking domain) ซึ่งครอบคลุมทั้งในระดับจุลภาค (micro) ระดับกลาง (meso) และระดับมหภาค (macro)

         จากการทำ curriculum mapping และแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับคณาจารย์จากหลายสถาบัน พบว่าปัจจุบันโรงเรียนแพทย์ส่วนใหญ่มีการจัดการเรียนการสอนในระดับ "ความรู้ความจำ" (Knows) ค่อนข้างครบถ้วน และ "ความเข้าใจ" (Knows How) ได้ค่อนข้างดี แต่ความท้าทายที่สำคัญคือ จะทำอย่างไรให้นักศึกษาแพทย์สามารถพัฒนาศักยภาพไปจนถึงระดับที่ "แสดงให้เห็นว่าทำได้" (Shows How) และ "นำไปปฏิบัติจริง" (Does) ได้ ซึ่งเป้าหมายดังกล่าวสอดคล้องกับแนวคิด "การเรียนรู้ที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง" (Transformative Learning) [4] และการสร้าง "บทบาทที่สร้างคุณค่าเพิ่มให้แก่ระบบ" (Value-Added Student Roles) โดยเปลี่ยนนักศึกษาจากการเป็นเพียง ผู้สังเกตการณ์ (observer) ไปสู่การเป็น ผู้มีส่วนร่วมเชิงรุก (active contributor) [1,3] เพื่อให้การเรียนการสอนเกิดประสิทธิภาพสูงสุด จำเป็นต้องใช้หลากหลายวิธีผสมผสานกัน ในเนื้อหาส่วนถัดไป จะเป็นการนำเสนอตัวอย่างรูปแบบการเรียนการสอนสำหรับศาสตร์ระบบสุขภาพที่สามารถทำได้ในรูปแบบต่าง ๆ พร้อมรายละเอียด ข้อดี ข้อเสีย และตัวอย่างการประยุกต์ใช้

          1. การบรรยาย (Lecture)

          เป็นการสอนพื้นฐานเพื่อสร้างความเข้าใจในหลักการและทฤษฎีหลักของศาสตร์ระบบสุขภาพในภาพกว้าง เหมาะสำหรับการปูพื้นฐานความรู้ให้กับนักศึกษาจำนวนมากในเวลาจำกัด

  • ข้อดี: สามารถถ่ายทอดความรู้พื้นฐานให้ผู้เรียนจำนวนมากได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • ข้อเสียและข้อจำกัด: เป็นการเรียนรู้แบบรับฝ่ายเดียว (passive learning) นักศึกษาอาจไม่สามารถนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ได้จริงหากขาดการเรียนรู้รูปแบบอื่นร่วมด้วย
          2. การเรียนรู้ด้วยตนเอง (Self-Directed Learning)

          นักศึกษาสามารถเรียนรู้ผ่านสื่อการสอนที่หลากหลายได้ตามความสนใจและตามอัธยาศัย ซึ่งช่วยส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต

  • ตัวอย่างการประยุกต์ใช้:
    • Reflective Writing: หลังจากร่วมกิจกรรมต่างๆ [8]  ให้นักศึกษาเขียนสะท้อนการเรียนรู้ (reflection) ถึงความรู้สึกของตนเองต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และวิเคราะห์ว่าหากตนเองเป็นแพทย์ในสถานการณ์นั้น จะนำความรู้ศาสตร์ระบบสุขภาพมาประยุกต์ใช้เพื่อเปลี่ยนแปลงผลลัพธ์ได้อย่างไร
  • ข้อดี: มีความยืดหยุ่นสูง นักศึกษาสามารถเรียนรู้ได้ตามความเร็วของตนเอง
  • ข้อเสียและข้อจำกัด: ต้องการแรงจูงใจในตนเองสูง และอาจขาดปฏิสัมพันธ์กับผู้สอนและเพื่อนร่วมชั้น
          3. การสังเกตการณ์และการเรียนรู้จากต้นแบบ (Job Shadowing & Role Modeling)

          นักศึกษาเรียนรู้ผ่านการสังเกตการณ์การทำงานของบุคลากรต้นแบบในระบบสุขภาพ ซึ่งช่วยให้เห็นภาพการทำงานจริงและซึมซับวัฒนธรรมองค์กร

  • ตัวอย่างการประยุกต์ใช้:
    • ให้นักศึกษาติดตาม (shadowing) ผู้อำนวยการโรงพยาบาล หรือหัวหน้าทีมบริหารความเสี่ยง 1 วัน เพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับภาวะผู้นำ (leadership) และการบริหารจัดการองค์กร [9]
  • ข้อดี: ให้มุมมองเชิงลึกเกี่ยวกับการทำงานจริงในบทบาทที่นักศึกษาอาจไม่เคยสัมผัส
  • ข้อเสียและข้อจำกัด: เป็นการเรียนรู้แบบรับฝ่ายเดียว และคุณภาพขึ้นอยู่กับบุคคลต้นแบบ (role model) ที่นักศึกษาสังเกตการณ์
          4. การเรียนรู้โดยใช้กรณีศึกษาและปัญหาเป็นฐาน (Case-based & Problem-based Learning)

          เป็นการใช้สถานการณ์จริงหรือสถานการณ์จำลองที่ซับซ้อน เพื่อกระตุ้นให้นักศึกษาเชื่อมโยงความรู้ทางคลินิกเข้ากับมิติของระบบสุขภาพ

  • ตัวอย่างการประยุกต์ใช้:
    • กรณีศึกษาแพทย์จบใหม่: ใช้เรื่องราวของแพทย์จบใหม่ในโรงพยาบาลชุมชนที่รู้สึกท้อแท้จากภาระงานและผู้ป่วยโรคเรื้อรังที่ไม่ปฏิบัติตามคำแนะนำ เพื่ออภิปรายถึงปัญหาสุขภาพประชากร (population health) และความสำคัญของการพัฒนาคุณภาพ (quality improvement) ทั้งระบบ [10] 
  • ข้อดี: ส่งเสริมการคิดวิเคราะห์อย่างมีวิจารณญาณและเชื่อมโยงความรู้หลายศาสตร์เข้าด้วยกัน
  • ข้อเสียและข้อจำกัด: อาจต้องใช้เวลาในการอภิปรายมาก และต้องมีผู้สอนที่มีทักษะในการชี้แนะประเด็นที่ซับซ้อน
          5. การเรียนรู้โดยใช้ทีมเป็นฐาน (Team-Based Learning - TBL)

          เป็นกระบวนการเรียนรู้เชิงรุกที่เน้นการทำงานร่วมกันเป็นทีมเพื่อแก้ปัญหาที่ซับซ้อน เหมาะกับหัวข้อที่ต้องการการวิเคราะห์จากหลายมุมมอง และส่งเสริมการเรียนรู้แบบสหวิชาชีพ (Interprofessional Education - IPE)

  • ข้อดี: ส่งเสริมการเรียนรู้เชิงรุก (active learning) พัฒนาทักษะการทำงานเป็นทีม การสื่อสาร และการคิดวิเคราะห์
  • ข้อเสียและข้อจำกัด: ต้องใช้เวลาในการเตรียมการมาก การหาเวลาว่างให้ตรงกัน และต้องการผู้สอน (facilitator) ที่มีทักษะในการกระตุ้นการอภิปราย
          6. Health Policy Labs และ Group Model Building

          เป็นการใช้แนวคิดและเครื่องมือของกระบวนการคิดเชิงระบบ (systems thinking) ในการวิเคราะห์และทำความเข้าใจปัญหาสุขภาพที่ซับซ้อนในระดับกลุ่มประชากร

  • ตัวอย่างการประยุกต์ใช้:
    • ให้นักศึกษาร่วมกันสร้าง แผนภาพวงจรเชิงสาเหตุ (Causal Loop Diagram) เพื่อวิเคราะห์ปัญหาความแออัดในห้องฉุกเฉิน โดยระบุปัจจัยต่าง ๆ ที่สัมพันธ์กัน เช่น การเข้าถึงบริการปฐมภูมิ, นโยบายการจ่ายเงิน, และพฤติกรรมผู้ป่วย เพื่อมองหาจุดคานงัด (leverage points) ที่สามารถแทรกแซงได้อย่างมีประสิทธิภาพ [11] 
  • ข้อดี: พัฒนาทักษะการคิดเชิงระบบในระดับสูง ช่วยให้มองเห็นภาพรวมและความเชื่อมโยงของปัญหาที่ซับซ้อน
  • ข้อเสียและข้อจำกัด: เป็นแนวคิดที่ค่อนข้างเป็นนามธรรม ต้องการผู้สอนที่มีทักษะสูงในการนำกระบวนการ และต้องอาศัยข้อมูลที่ดีในการวิเคราะห์
          7. การใช้สถานการณ์จำลอง (Simulation) และการสรุปบทเรียน (Debriefing)

          เป็นการสร้างสถานการณ์เสมือนจริงให้นักศึกษาได้ฝึกฝนทักษะในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยก่อนนำไปใช้กับผู้ป่วยจริงหรือประชาชน

  • ตัวอย่างการประยุกต์ใช้:
    • Quality Improvement and Health Management LEAN Hospital Simulation เป็นการจำลองการจัดการระบบการรักษาผู้ป่วย โดยใช้หลักการ Lego Serious Play

    • สมัชชาสุขภาพจำลอง (Mock Health Assembly): จัดสถานการณ์จำลองให้นักศึกษาได้ฝึกฝนกระบวนการขับเคลื่อนนโยบายสุขภาพ (policy cycle) โดยให้นักศึกษารับบทบาทเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (stakeholders) ที่หลากหลาย ฝึกวิเคราะห์ปัญหาสุขภาพโดยใช้เครื่องมือของกระบวนการคิดเชิงระบบ (systems thinking) และฝึกทักษะการสื่อสาร การเจรจาต่อรอง และการสร้างความร่วมมือเพื่อผลักดันข้อเสนอเชิงนโยบาย 
  • ข้อดี: เป็นพื้นที่ปลอดภัยให้นักศึกษาได้ฝึกฝนและเรียนรู้จากความผิดพลาดโดยไม่เกิดอันตรายกับผู้ป่วยจริง หรือในการต่อรองกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหากทำโดยนักศึกษาแพทย์ที่ยังไม่มีประสบการณ์อาจส่งผลเสีย
  • ข้อเสียและข้อจำกัด: มีค่าใช้จ่ายสูง อาจขาดความสมจริงในบางบริบท และต้องใช้บุคลากรจำนวนมากในการดำเนินการ
          8. การเรียนรู้ในสถานการณ์จริง (Workplace/Practice-Based Learning)

          เป็นการบูรณาการการเรียนรู้เข้ากับการฝึกปฏิบัติงานทางคลินิกจริง ทำให้นักศึกษาสามารถเชื่อมโยงทฤษฎีกับการปฏิบัติได้อย่างเป็นรูปธรรม

  • ตัวอย่างการประยุกต์ใช้:
    • Bedside Teaching: ขณะดูแลผู้ป่วยเด็กโรคธาลัสซีเมีย อาจารย์แพทย์ตั้งประเด็นอภิปรายถึงความแตกต่างระหว่าง LPRC และ LDPRC ไม่ใช่แค่ในมิติทางคลินิก แต่รวมถึงมิติทางเศรษฐศาสตร์สาธารณสุข (health economics) และความเป็นธรรม (equity) ในการเข้าถึงการรักษาภายใต้สิทธิสุขภาพที่แตกต่างกัน [12]
    • Home Visit : จากเดิมที่เน้นทางมิติสุขภาพของผู้ป่วยที่ออกเยี่ยมร่วมกับทีมเพียงอย่างเดียว มาเป็นตั้งประเด็นอภิปรายว่าประเด็นการดูแลการแพทย์อย่างเป็นองค์รวมและครบวงจร  การลงทุนในการป้องกันเปรียบเทียบกับงบประมาณปัจจุบันที่ใช้ไปกับการรักษา ในส่วนของประเด็นของ value-added role โดยสามารถเปลี่ยนบทบาทนักศึกษาแพทย์จากเดิมที่จะเป็นลักษณะ shadowing อาจารย์และสังเกตุ เป็นการเข้าร่วมและอภิปรายตั้งแต่ service morning conference ที่ทางทีมจะใช้เพื่อวางแผน แผนทางเยี่ยมบ้าน รวมถึงสามารถช่วยเหลือในด้านการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อวางแผลเชิงกลยุทธ์ในการสร้างเสริมสุขภาพในชุมชน 
  • ข้อดี: เป็นการเรียนรู้ที่สมจริงที่สุด (authentic learning) นักศึกษาได้เห็นความซับซ้อนของระบบสุขภาพจริง
  • ข้อเสียและข้อจำกัด: เป็นการเรียนรู้ตามโอกาส (opportunistic) และคุณภาพขึ้นอยู่กับทักษะของอาจารย์แพทย์พี่เลี้ยง (preceptor)
Image
ตัวอย่างกิจกรรม Home Visit
Image
สมัชชาสุขภาพจำลอง (Mock Health Assembly)
          9. การเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐาน (Project-Based Learning)

          นักศึกษาได้เรียนรู้เชิงลึกผ่านการทำโครงงานที่เกี่ยวข้องกับปัญหาจริงในระบบสุขภาพ ซึ่งช่วยพัฒนาทักษะการจัดการและการนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง

  • ตัวอย่างการประยุกต์ใช้:
    • Quality Improvement (QI) Project: ให้นักศึกษากลุ่มย่อยออกแบบและดำเนินโครงการพัฒนาคุณภาพโดยใช้วงจร PDSA (Plan-Do-Study-Act) เพื่อแก้ปัญหาที่พบในโรงพยาบาล เช่น "โครงการลดระยะเวลารอคอยในคลินิกผู้ป่วยนอก" หรือ "โครงการเพิ่มอัตราการล้างมือก่อนและหลังสัมผัสผู้ป่วย" [10] 
    • Community Health Project: นักศึกษาร่วมกับทีมสุขภาพและผู้นำชุมชน ทำ "การประเมินความต้องการด้านสุขภาพของชุมชน" เพื่อระบุปัญหาสุขภาพที่สำคัญและร่วมวางแผนแก้ไข [13]
  • ข้อดี: เป็นการเรียนรู้เชิงลึกที่นักศึกษาได้ลงมือปฏิบัติจริง สร้างผลกระทบที่เกิดขึ้นจริง และพัฒนาทักษะการบริหารโครงการ
  • ข้อเสียและข้อจำกัด: ใช้เวลามาก และต้องการการสนับสนุนและคำปรึกษาจากอาจารย์อย่างใกล้ชิด หรือหากมีเวลาให้ทำสั้น อาจจะไม่ได้ประสิทธิภาพเท่าที่ควร
          10. การเรียนรู้โดยใช้การวิจัยเป็นฐาน (Research-Based Learning)

          ส่งเสริมให้นักศึกษามีส่วนร่วมในงานวิจัยด้านศาสตร์ระบบสุขภาพ เพื่อพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์และการประเมินหลักฐานเชิงประจักษ์

  • ตัวอย่างการประยุกต์ใช้:
    • นักศึกษามีส่วนร่วมในโครงการวิจัยของอาจารย์ เช่น "การวิเคราะห์ความเหลื่อมล้ำทางสุขภาพ (health disparities) ของผู้ป่วยเบาหวานในเขตเมืองและชนบท" โดยใช้ข้อมูลจากฐานข้อมูลของโรงพยาบาล [13]  หรือ "การประเมินผลกระทบของนโยบาย Stroke Fast Track ต่ออัตราการรอดชีวิตของผู้ป่วย"
  • ข้อดี: พัฒนาทักษะการคิดเชิงวิพากษ์ (critical appraisal) และการประยุกต์ใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ได้อย่างลึกซึ้ง
  • ข้อเสียและข้อจำกัด: อาจไม่เหมาะกับนักศึกษาทุกคน และต้องการโครงสร้างพื้นฐานด้านการวิจัยและการสนับสนุนที่เข้มแข็ง
บทสรุป
         การสร้างบัณฑิตแพทย์ให้เป็นผู้สร้างการเปลี่ยนแปลง (change agent) ที่แท้จริงนั้น มิอาจสำเร็จได้ด้วยการปรับแก้หลักสูตรเพียงอย่างเดียว แต่จำเป็นต้องอาศัยการปฏิรูปกระบวนทัศน์ในทุกมิติ ตั้งแต่การคัดเลือกผู้เรียน การออกแบบประสบการณ์เรียนรู้ที่ให้นักศึกษาได้เป็น "ผู้มีส่วนร่วม" อย่างแท้จริง ซึ่งรูปแบบการเรียนการสอนที่มุ่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวมักต้องอาศัยการวางแผน ความร่วมมือ และทรัพยากรที่เพิ่มขึ้น การสนับสนุนเชิงนโยบายจากผู้บริหารสถาบันจึงนับเป็นปัจจัยแห่งความสำเร็จที่ขาดไม่ได้ ควบคู่ไปกับการพัฒนาคณาจารย์และระบบพี่เลี้ยงให้มีทักษะการคิดเชิงระบบเพื่อเป็นแบบอย่างและสามารถแนะนำนักศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ การสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่สนับสนุน และที่สำคัญที่สุด คือความร่วมมือจากระบบสุขภาพภายนอกในการสร้าง "ระบบนิเวศ" ที่เอื้อให้บัณฑิตแพทย์เหล่านี้สามารถนำศักยภาพมาใช้ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงได้อย่างเต็มที่ ความท้าทายนี้จึงมิใช่ภาระของสถาบันการศึกษาเพียงฝ่ายเดียว แต่เป็นความรับผิดชอบร่วมกันของทุกภาคส่วน เพื่อสร้างอนาคตที่ยั่งยืนให้แก่ระบบสุขภาพของประเทศไทย

References

  1. Burnett E, Davey P, Gray N, Tully V, Breckenridge J. Medical students as agents of change: a qualitative exploratory study. BMJ Open Qual 2018;7(3):e000420.
  2. Nicolaou N, Nicolaou C, Nicolaou P, Nicolaides P, Papageorgiou A. Development of a leadership and management module for the undergraduate medical curriculum. BMC Med Educ 2024;24(1):1310.
  3. Skochelak SE, Hammoud MM, Lomis KD, Borkan JM, Gonzalo JD, Lawson LE, Starr SR, editors. Health systems science. 2nd ed. Philadelphia: Elsevier; 2021.
  4. กนกวรรณ ศรีรักษา, อรุณี ทิพย์วงศ์, สุดารัตน์ วิจิตรเศรษฐกุล, อนุพงษ์ สุธรรมนิรันด์, บรรณาธิการ. ศาสตร์ระบบสุขภาพสำหรับแพทยศาสตรศึกษา. นนทบุรี: สำนักงานบริหารโครงการร่วมผลิตแพทย์เพิ่มเพื่อชาวชนบท กระทรวงสาธารณสุข; 2562.
  5. American Academy of Family Physicians. Why we need to add health policy leadership to our skillset [Internet]. FPM. 2025 Mar [cited 2025 Sep]. Available from: https://www.aafp.org/pubs/fpm/issues/2025/0300/health-policy-leadership.html
  6. Gonzalo JD, Haidet P, Papp KK, Wolpaw DR, Moser E, Wittenstein RD, Wolpaw T. Educating for the 21st-century health care system: an interdependent framework of basic, clinical, and systems sciences. Acad Med 2017;92(1):35-9.
  7. Law M, Leung P, Veinot P, Miller D, Mylopoulos M. A qualitative study of the experiences and factors that led physicians to be lifelong health advocates. Acad Med 2016;91(10):1392-7.
  8. ทักษิณา ครบตระกูลชัย, ศุภชัย ครบตระกูลชัย. เรื่องเล่าเท้าความ: กุญแจดอกสำคัญที่ทำให้การเป็น “แพทย์” นั้นมีความหมาย. ใน: กนกวรรณ ศรีรักษา, อรุณี ทิพย์วงศ์, สุดารัตน์ วิจิตรเศรษฐกุล, อนุพงษ์ สุธรรมนิรันด์, บรรณาธิการ. ศาสตร์ระบบสุขภาพสำหรับแพทยศาสตรศึกษา. นนทบุรี: สำนักงานบริหารโครงการร่วมผลิตแพทย์เพิ่มเพื่อชาวชนบท กระทรวงสาธารณสุข; 2562. หน้า 1-6.
  9. ทักษิณา ครบตระกูลชัย, อธิคม สงวนตระกูล, สุรชัย สราญฤทธิ์ชัย. Leadership and Teamwork: การเป็นผู้นำ การทำงานเป็นทีม ทักษะจำเป็นที่ต้องเรียนรู้. ใน: กนกวรรณ ศรีรักษา, อรุณี ทิพย์วงศ์, สุดารัตน์ วิจิตรเศรษฐกุล, อนุพงษ์ สุธรรมนิรันด์, บรรณาธิการ. ศาสตร์ระบบสุขภาพสำหรับแพทยศาสตรศึกษา. นนทบุรี: สำนักงานบริหารโครงการร่วมผลิตแพทย์เพิ่มเพื่อชาวชนบท กระทรวงสาธารณสุข; 2562. หน้า 89-106.
  10. วาสนา หงษ์กัน, อนุพงษ์ สุธรรมนิรันด์. Quality Improvement: ปลูกฝังองค์ความรู้การพัฒนาคุณภาพให้แก่แพทย์ได้อย่างไร. ใน: กนกวรรณ ศรีรักษา, อรุณี ทิพย์วงศ์, สุดารัตน์ วิจิตรเศรษฐกุล, อนุพงษ์ สุธรรมนิรันด์, บรรณาธิการ. ศาสตร์ระบบสุขภาพสำหรับแพทยศาสตรศึกษา. นนทบุรี: สำนักงานบริหารโครงการร่วมผลิตแพทย์เพิ่มเพื่อชาวชนบท กระทรวงสาธารณสุข; 2562. หน้า 77-87.
  11. บวรศม ลีระพันธ์. Paradigm change in undergraduate health systems science education: การปรับกระบวนทัศน์เพื่อจัดประสบการณ์เรียนรู้วิทยาการระบบสุขภาพสำหรับนักศึกษาแพทย์. ใน: กนกวรรณ ศรีรักษา, อรุณี ทิพย์วงศ์, สุดารัตน์ วิจิตรเศรษฐกุล, อนุพงษ์ สุธรรมนิรันด์, บรรณาธิการ. ศาสตร์ระบบสุขภาพสำหรับแพทยศาสตรศึกษา. นนทบุรี: สำนักงานบริหารโครงการร่วมผลิตแพทย์เพิ่มเพื่อชาวชนบท กระทรวงสาธารณสุข; 2562. หน้า 35-63.
  12. วิน เตชะเคหะกิจ, ศรีกัญญา ชุณหวิกสิต. Health Economics. ใน: กนกวรรณ ศรีรักษา, อรุณี ทิพย์วงศ์, สุดารัตน์ วิจิตรเศรษฐกุล, อนุพงษ์ สุธรรมนิรันด์, บรรณาธิการ. ศาสตร์ระบบสุขภาพสำหรับแพทยศาสตรศึกษา. นนทบุรี: สำนักงานบริหารโครงการร่วมผลิตแพทย์เพิ่มเพื่อชาวชนบท กระทรวงสาธารณสุข; 2562. หน้า 143-66.
  13. ชานนท์ นันทวงศ์, สุดารัตน์ วิจิตรเศรษฐกุล. Population Health and Determinants of Health: เพราะอะไรแพทย์จึงต้องคำนึงถึงสุขภาพประชากรและปัจจัยกำหนดสุขภาพ. ใน: กนกวรรณ ศรีรักษา, อรุณี ทิพย์วงศ์, สุดารัตน์ วิจิตรเศรษฐกุล, อนุพงษ์ สุธรรมนิรันด์, บรรณาธิการ. ศาสตร์ระบบสุขภาพสำหรับแพทยศาสตรศึกษา. นนทบุรี: สำนักงานบริหารโครงการร่วมผลิตแพทย์เพิ่มเพื่อชาวชนบท กระทรวงสาธารณสุข; 2562. หน้า 107-22.
  14. American Hospital Association. The importance of physician leadership [Internet]. AHA Trustee Services. [cited 2025 Sep]. Available from: https://trustees.aha.org/articles/864-the-importance-of-physician-leadership
  15. กนกวรรณ ศรีรักษา, อรุณี ทิพย์วงศ์, สุดารัตน์ วิจิตรเศรษฐกุล, อนุพงษ์ สุธรรมนิรันด์, บรรณาธิการ. ศาสตร์ระบบสุขภาพสำหรับแพทยศาสตรศึกษา. พิมพ์ครั้งที่ 1. นนทบุรี: สำนักงานบริหารโครงการร่วมผลิตแพทย์เพิ่มเพื่อชาวชนบท กระทรวงสาธารณสุข; 2562.
  16. บุญรัตน์ วราชิต. Patient Safety: ความปลอดภัยของผู้ป่วยสำคัญต่อวิชาชีพแพทย์อย่างไร. ใน: กนกวรรณ ศรีรักษา, อรุณี ทิพย์วงศ์, สุดารัตน์ วิจิตรเศรษฐกุล, อนุพงษ์ สุธรรมนิรันด์, บรรณาธิการ. ศาสตร์ระบบสุขภาพสำหรับแพทยศาสตรศึกษา. นนทบุรี: สำนักงานบริหารโครงการร่วมผลิตแพทย์เพิ่มเพื่อชาวชนบท กระทรวงสาธารณสุข; 2562. หน้า 65-76.
  17. ประพันธ์ สมพร. Healthcare Policy. ใน: กนกวรรณ ศรีรักษา, อรุณี ทิพย์วงศ์, สุดารัตน์ วิจิตรเศรษฐกุล, อนุพงษ์ สุธรรมนิรันด์, บรรณาธิการ. ศาสตร์ระบบสุขภาพสำหรับแพทยศาสตรศึกษา. นนทบุรี: สำนักงานบริหารโครงการร่วมผลิตแพทย์เพิ่มเพื่อชาวชนบท กระทรวงสาธารณสุข; 2562. หน้า 135-41.
  18. รายิน อโรร่า. Introduction to HSS education: เราจะเรียนรู้ Health Systems Science กันอย่างไร. ใน: กนกวรรณ ศรีรักษา, อรุณี ทิพย์วงศ์, สุดารัตน์ วิจิตรเศรษฐกุล, อนุพงษ์ สุธรรมนิรันด์, บรรณาธิการ. ศาสตร์ระบบสุขภาพสำหรับแพทยศาสตรศึกษา. นนทบุรี: สำนักงานบริหารโครงการร่วมผลิตแพทย์เพิ่มเพื่อชาวชนบท กระทรวงสาธารณสุข; 2562. หน้า 23-34.

พญ. เพ็ญนภา กวีวงศ์ประเสริฐ
ภาควิชาเวชศาสตร์ป้องกันและสังคม
คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล
email : This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.

แนะนำสำหรับคุณ





ท่านสามารถเก็บคะแนน CPD / CME ได้จากระบบ SHEE Online Course โดยสามารถ Click ที่ปุ่มด้านล่างนี้เพื่อเข้าสู่ระบบ

 

Free Joomla! templates by Engine Templates