05) Assessment of Health Systems Science Competencies in Medical Schools

สารบัญ
Go Back

05

Assessment of Health Systems Science Competencies in Medical Schools

แนวคิดการวัดผลสัมฤทธิ์ของนักศึกษาแพทย์ในด้านวิทยาศาสตร์ระบบสุขภาพ
อ. นพ.ภาณุวิชญ์ แก้วกำจรชัย
โรงเรียนแพทย์รามาธิบดี สถาบันการแพทย์จักรีนฤบดินทร์
คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
Image
          แนวคิดวิทยาระบบสุขภาพ (Health Systems Science: HSS) ได้รับการยอมรับในวงการแพทยศาสตรศึกษาว่าเป็นรากฐานสำคัญของการผลิตบัณฑิตแพทย์ในระดับก่อนปริญญาและบัณฑิตศึกษาในทศวรรษที่ผ่านมา โดย American Medical Association (AMA) ได้เสนอให้วิชาวิทยาระบบสุขภาพเป็น “เสาหลักที่สาม” ของแพทยศาสตรศึกษานอกเหนือจากวิทยาศาสตร์พื้นฐาน (Basic Science) และวิทยาศาสตร์คลินิก (Clinical Science) [1] หลักการสำคัญของวิทยาระบบสุขภาพคือการสร้างความเข้าใจว่าการบริการสุขภาพไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในบริบทห้องตรวจหรือหอผู้ป่วยที่แพทย์คุ้นเคย แต่เป็นผลจากระบบซับซ้อนที่เชื่อมโยงเกี่ยวข้องกับนโยบายสุขภาพ เศรษฐศาสตร์ ทีมสหสาขาวิชาชีพ ผู้ป่วยและครอบครัว โดยความเข้าใจดังกล่าวและชุดสมรรถนะที่จำเป็นจะทำให้แพทย์สามารถทำงานในระบบสุขภาพได้อย่างมีประสิทธิผลและเกิดผลลัพธ์ที่ดีต่อผู้ป่วยและสังคม บทความนี้ต้องการนำเสนอแนวคิดเพื่อประเมินผลสัมฤทธิ์ด้านวิทยาระบบสุขภาพซึ่งปัจจุบันยังมีแนวคิดและเครื่องมือในการวัดและประเมินผลอยู่จำกัดทั้งในบริบทไทยและบริบทนานาชาติ

           เนื่องจาก กรอบแนวคิดวิทยาระบบสุขภาพ ประกอบไปด้วย 3 องค์ประกอบหลัก ได้แก่ 1) ขอบเขตความรู้หลัก (core domains) อาทิ health care structures and processes, health policy and economics, population health, value-based care และ quality improvement 2) ขอบเขตความรู้ข้ามสาขา (cross-cutting domains) อาทิ teamwork, leadership และ professionalism และ 3) ขอบเขตความรู้การเชื่อมโยงความรู้ (linking domain) คือ systems thinking [2] การสอนและประเมินสมรรถนะด้านวิทยาระบบสุขภาพจึงท้าทายเนื่องจากแต่ละสมรรถนะในสามขอบเขตความรู้ของกรอบแนวคิดมีระดับผลสัมฤทธิ์ที่ไม่เหมือนกัน ทำให้สมรรถนะด้านวิทยาระบบสุขภาพไม่สามารถวัดประเมินผลด้วยเทคนิคหรือเครื่องมือเดียวกัน และบางสมรรถนะไม่สามารถวัดได้ด้วยเครื่องมือที่อาจารย์แพทย์หรือนักวิชาการการศึกษาคุ้นเคยเช่นการสอบในลักษณะต่าง ๆ ได้

Image
Miller’s Pyramid กับการประเมินสมรรถนะวิทยาระบบสุขภาพในตัวผู้เรียน

          ทฤษฎีทางการศึกษาที่ช่วยอธิบายระดับความสามารถ และเป็นแนวทางในการประเมินผลสัมฤทธิ์ด้านวิทยาระบสุขภาพได้ชัดเจนคือ Miller’s Pyramid of Clinical Competence ซึ่งแบ่งระดับความสามารถของผู้เรียนออกเป็น การรู้ (knows), รู้ว่าทำอย่างไร (knows how), แสดงให้เห็นว่าทำ (shows how) และระดับสูงสุดคือทำได้ (does) [3] หากนำมาประยุกต์ใช้ในการประเมินผลสัมฤทธิ์ด้านวิทยาระบบสุขภาพจะพบว่า ในระดับ knows และ knows how เราสามารถประเมินผู้เรียนว่า “รู้หรือไม่” และ “รู้ว่าทำอย่างไรหรือไม่” ในขอบเขตความรู้แกนหลัก (core domains) อาทิ การวัดความรู้ เกี่ยวกับโครงสร้างระบบบริการสุขภาพหรือเศรษฐศาสตร์สุขภาพได้ด้วยข้อสอบลักษณะต่าง ๆ อาทิ ข้อสอบปรนัยหรือข้อสอบอัตนัย ซึ่งเป็นรูปแบบที่คุ้นเคยและเชื่อถือได้

          แต่ในระดับความสามารถ shows how และ does  ซึ่งเป็นระดับที่มุ่งหวังในขอบเขตความรู้ข้ามสาขา (cross-cutting domain) และขอบเขตความรู้การเชื่อมโยงความรู้ (linking domain) อาทิ leadership teamwork หรือ systems thinking (ซึ่งต้องเชื่อมโยงกับขอบเขตความรู้อื่นด้วย) ผู้เรียนต้องถูกประเมินผลสัมฤทธิ์ในสถานการณ์จริงหรือใกล้เคียงความจริง การสอบแบบ OSCE ที่ออกแบบสถานการณ์ทีมสหสาขา หรือการประเมินผลสัมฤทธิ์ในสถานที่ปฏิบัติงาน (workplace-based assessment) [4] โดยประยุกต์ใช้แนวคิด Entrustable Professional Activities (EPAs) [4] บนพื้นฐานว่าความสามารถด้านวิทยาระบบสุขภาพไม่ควรจำกัดอยู่ที่การวัดความรู้หรือทักษะเชิงเดี่ยว การนิยาม EPA ที่เกี่ยวข้องกับวิทยาระบบสุขภาพ เช่น “การเข้าร่วมและทำกิจกรรมปรับปรุงคุณภาพของหน่วยงาน” หรือ “การบูรณาการข้อมูลด้านนโยบายและประชากรเพื่อการตัดสินใจทางคลินิก” หรือ “การสื่อสารกับทีมสหสาขาเพื่อจัดการผู้ป่วยซับซ้อน” เป็นต้น นอกจากนั้นยังสามารถการประเมินผลในบริบท “ใกล้เคียงจริง” จากบริบทที่ผู้เรียนมีโอกาสดำเนินโครงการร่วมกับทีม (project-based assessment) ที่อาจารย์สังเกตการปฏิบัติหรือพฤติกรรมของผู้เรียนโดยตรง การประเมินจากการปฏิบัติในสถานการณ์ต่าง ๆ เหล่านี้จึงจะตอบโจทย์มากกว่า [5]

จากการประเมินแบบภาพตัดขวางสู่ความจำเป็นในการประเมินแบบ Programmatic Assessment

          การประเมินที่แยกส่วนในแต่ละวิชา แม้สะดวกต่อการจัดการ แต่ไม่สามารถสะท้อนพัฒนาการของสมรรถนะเชิงระบบได้ครบถ้วน การเรียนรู้วิชาวิทยาระบบสุขภาพต้องอาศัยการสั่งสมประสบการณ์และการสะท้อนคิดในระยะยาว จึงเกิดแนวคิด programmatic assessment ซึ่งเน้นการเก็บหลักฐานจากหลายวิธี หลายเวลา และหลายแหล่งข้อมูล แล้วนำมาสังเคราะห์เป็นภาพรวม [6] อาทิ ระบบแฟ้มผลงาน (portfolio) ที่ให้ผู้เรียนรวบรวมบทเรียนจากกิจกรรมการพัฒนางานคุณภาพ (quality improvement) รวบรวมการสะท้อนคิด (reflective writing) ที่ช่วยให้ผู้เรียนมองย้อนทบทวนประสบการณ์และใคร่ครวญประเด็นการเรียนรู้รวมถึงวางแผนการปฏิบัติในอนาคต และ workplace-based assessment เช่น Mini-CEX หรือ DOPS ซึ่งบันทึกการปฏิบัติในสถานการณ์จริง [7]  การใช้ข้อมูลแบบหลากหลายเช่นนี้ทำให้การประเมินมีความน่าเชื่อถือและส่งผลดีต่อการวางแผนการเรียนรู้ของผู้เรียนแต่ละคนในการพัฒนาตนเอง และดีต่อผู้สอนในแง่การดูความก้าวหน้าของผู้เรียนตลอดหลักสูตรมากกว่าการสอบครั้งเดียว [8]

ตัวอย่างเครื่องมือที่จำเพาะต่อแต่ละสมรรถนะ : การประเมินสมรรถนะ Quality Improvement

         หนึ่งในสมรรถนะภายในกรอบแนวคิดวิทยาระบบสุขภาพ ที่มีเครื่องมือเฉพาะคือการพัฒนาคุณภาพ (quality Improvement: QI) โดยมี Quality Improvement Knowledge Application Tool – Revised (QIKAT-R) ซึ่งถูกพัฒนาในด้าน psychometric อย่างเป็นรูปธรรม [9] การมีเครื่องมือที่จำเพาะอย่าง QIKAT-R ทำให้การประเมินการดำเนินงานพัฒนาคุณภาพ ไม่ใช่เพียงการตรวจสอบว่าผู้เรียน “รู้” หลักการ แต่สามารถสะท้อนถึงความสามารถในการคิดเชิงระบบและออกแบบการเปลี่ยนแปลงที่เหมาะสมในบริบทจริง

Image
การประเมินการคิดเชิงระบบ (Systems Thinking) : ความท้าทายของการวัดสมรรถนะที่สำคัญ

         ต่างจากการพัฒนาคุณภาพที่มีเครื่องมือมาตรฐาน การคิดเชิงระบบ (systems thinking) เป็นสมรรถนะด้านวิทยาระบบสุขภาพที่สำคัญในฐานะสิ่งที่ช่วยให้ผู้เรียนเชื่อมโยงองค์ความรู้และทักษะทุกอย่างในกรอบแนวคิดวิทยาระบบสุขภาพมาใช้จริงในบริบทระบบสุขภาพ แต่กลับเป็นเป็นสมรรถนะที่ยากต่อการวัด เพราะการคิดเชิงระบบไม่ใช่เพียงทักษะ หากแต่เป็น “วิธีความคิด” ที่สะท้อนการมองเห็นความสัมพันธ์ระหว่างองค์ประกอบของระบบ การประเมินสมรรถนะด้าน systems thinking จึงต้องใช้วิธีการเชิงคุณภาพหลายรูปแบบ เช่น การสังเกตพฤติกรรมของผู้เรียนในการวิเคราะห์ปัญหาเชิงระบบ, การสะท้อนคิดที่กำกับโดยอาจารย์ และ feedback จากเพื่อนร่วมทีม และการประเมินจากสิ่งเป็นเป้าประสงค์สุดท้ายคือการที่ผู้เรียนมี “พฤติกรรม” หรือแบบแผนของการกระทำที่แสดงว่าผู้เรียนเป็น “นักคิดเชิงระบบ” (systems thinker) โดยปัจจุบันถึงแม้ไม่มีเครื่องมือการประเมินที่เผยแพร่โดยทั่วไปแต่มีการระบุ 14 พฤติกรรมของนักคิดเชิงระบบที่เป็นที่ยอมรับและสามารถนำมาสังเคราะห์เป็นเครื่องมือการสังเกตพฤติกรรมผู้เรียนได้ในอนาคตต่อไป

บทสรุป

         การวัดและประเมินผลผลสัมฤทธิ์ด้านวิทยาระบบสุขภาพ ไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อจัดอันดับความเชี่ยวชาญของผู้เรียน แต่เพื่อสนับสนุนการเรียนรู้และพฤติกรรมที่ยั่งยืน การผสมผสานเครื่องมือหลากหลาย ตั้งแต่ข้อสอบมาตรฐานในการวัดความรู้ การประเมินจากการสังเกตการณ์การปฏิบัติจริง โดยประยุกต์ใช้แนวคิด programmatic assessment และเครื่องมืออย่าง EPA จะช่วยให้เราสามารถประเมินสมรรถนะได้ทั้งมิติความรู้ ทักษะและพฤติกรรม การมีเครื่องมือเฉพาะอย่าง QIKAT-R เป็นตัวอย่างรากฐานที่สำคัญในระดับองค์ประกอบย่อย แต่ภาพรวมการวัดผลสัมฤทธิ์ยังมีความท้าทายโดยเฉพาะในด้าน systems thinking ที่ต้องการการพัฒนาเครื่องมือประเมินต่อไป

References

  1. Skochelak SE, Hawkins RE, Lawson LE, Starr SR, Borkan J, Gonzalo JD. Health Systems Science. 2nd ed. Philadelphia: Elsevier; 2020.
  2. Gonzalo JD, Dekhtyar M, Starr SR, Borkan J, Brunett P, Campbell T, et al. Health systems science curricula in undergraduate medical education: Identifying and defining a potential curricular framework. Acad Med 2017;92(1):123–31.
  3. Miller GE. The assessment of clinical skills/competence/performance. Acad Med 1990;65(9 Suppl):S63–7.
  4. Norcini J, Burch V. Workplace-based assessment as an educational tool: AMEE Guide No. 31. Med Teach 2007;29(9):855–71.
  5. ten Cate O. Nuts and bolts of entrustable professional activities. J Grad Med Educ 2013;5(1):157–8.
  6. van der Vleuten CPM, Schuwirth LWT, Driessen EW, Dijkstra J, Tigelaar D, Baartman LKJ, et al. A model for programmatic assessment fit for purpose. Med Teach 2012;34(3):205–14.
  7. Holmboe ES, Sherbino J, Long DM, Swing SR, Frank JR. The role of assessment in competency-based medical education. Med Teach 2010;32(8):676–82.
  8. Driessen E, van der Vleuten C, Schuwirth L, van Tartwijk J, Vermunt JD. The use of qualitative research criteria for portfolio assessment as an alternative to reliability evaluation: A case study. Med Educ 2005;39(2):214–20.
  9. Singh MK, Ogrinc G, Cox KR, Dolansky M, Brandt J, Morrison LJ. The Quality Improvement Knowledge Application Tool Revised (QIKAT-R). Acad Med 2014;89(10):1386–91.
  10. Waters Center for Systems Thinking. Thinking tools studio – habits of a systems thinker [Internet]. [cited 2025 Sep 1]. Available from: https://thinkingtoolsstudio.waterscenterst.org/cards

อ. นพ.ภาณุวิชญ์ แก้วกำจรชัย 
โรงเรียนแพทย์รามาธิบดี สถาบันการแพทย์จักรีนฤบดินทร์
คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
email : This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.

แนะนำสำหรับคุณ

Citation

ภาณุวิชญ์ แก้วกำจรชัย. Assessment of Health Systems Science Competencies in Medical Schools. SHEE Journal 2025 (Volumn = 6) ISSUE 3; e250305
URL: https://shee.si.mahidol.ac.th/knowledge/index.php/en/journals-en/issue3-2025/05-3-2025




ท่านสามารถเก็บคะแนน CPD / CME ได้จากระบบ SHEE Online Course โดยสามารถ Click ที่ปุ่มด้านล่างนี้เพื่อเข้าสู่ระบบ

 

Free Joomla! templates by Engine Templates