12) SHEE Research - Considering the Belmont Report in Health Science Education Research (2): Justice

สารบัญ
Go Back

12

SHEE Research

Considering the Belmont Report in Health Science Education Research (2): Justice

ดร.พีรดา งามเสน่ห์
ผู้ช่วยอาจารย์
ศูนย์ความเป็นเลิศด้านการศึกษาวิทยาศาสตร์สุขภาพ (SHEE)
คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล
Image
          สวัสดีผู้อ่านทุกท่านอีกครั้งค่ะ หากติดตามบทความ SHEE Research ตั้งแต่ในฉบับที่แล้ว ผู้อ่านอาจทราบว่าคอลัมน์นี้กำลังชวนทุกคนมาทำความรู้จักรายงานเบลมองต์ (Belmont Report) อันเป็นบทบัญญัติสากลว่าด้วยจริยธรรมที่นักวิจัยพึงมีต่อเพื่อนมนุษย์ผู้เข้าร่วมวิจัย ซึ่งนอกจากจะเป็นเกณฑ์ที่นักวิจัยทางชีวเวชศาสตร์ทั่วไปต้องยึดมั่นแล้ว นักวิจัยการศึกษาวิทยาศาสตร์สุขภาพที่ต้องข้องเกี่ยวกับการทดลองเชิงพฤติกรรมศาสตร์อยู่บ่อย ๆ ก็ควรทำความคุ้นเคยให้มากไม่แพ้กันค่ะ โดยในฉบับที่แล้ว เราได้ทำความรู้จักหลักการข้อแรก ว่าด้วยหลักความเคารพในบุคคล (respect for persons) ที่กล่าวถึงการแบ่งประเภทบุคคลออกเป็นบุคคลอิสระ (autonomous persons) และบุคคลขาดอิสระ (persons of diminished autonomy) ซึ่งมีความเสี่ยงต่อการได้รับผลกระทบจากการเข้าร่วมวิจัยแตกต่างกัน รวมถึงแนวปฏิบัติเพื่อคุ้มครองผู้เข้าร่วมวิจัยผู้เป็นบุคคลขาดอิสระหลากหลายวิธี อันครอบคลุมไปถึงการให้ความสมัครใจในการเข้าร่วมและถอนตัวจากวิจัย และการออกแบบเอกสารยินยอมโดยสมัครใจ (informed consent)

          สำหรับคอลัมน์ SHEE Research ประจำฉบับนี้ ผู้เขียนขอยกหลักการข้อที่สามตามรายงานเบลมองต์ ว่าด้วยหลักความยุติธรรม (Justice) มาอธิบาย และชวนให้ผู้อ่านทุกท่านสำรวจในบริบทการวิจัยเชิงการศึกษาวิทยาศาสตร์สุขภาพกันค่ะ

          ความยุติธรรม เป็นคำศัพท์ที่ผู้เขียนเชื่อว่า ผู้อ่านคุ้นเคยและพบเห็นบ่อย หากยึดตามนิยามในรายงานเบลมองต์แล้ว หมายถึง ความเท่าเทียมในการแจกจ่าย (fairness in distribution) หรือ สิ่งที่คู่ควรกับบุคคลใดบุคคลหนึ่ง (what is deserved) ทั้งนี้ เราสามารถจำแนกสิ่งที่บุคคลได้รับออกเป็นสองประเภทใหญ่ ๆ คือ สิ่งที่เป็นประโยชน์ (benefit) และสิ่งที่เป็นโทษ หรือเป็นภาระ (burden) เช่น อาสาสมัครผู้เข้าร่วมงานวิจัยที่ต้องเก็บตัวอย่างเลือดเพื่อส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการ หาปริมาณไขมันในเลือด จะได้ทราบผลการตรวจเลือดของตัวเองว่ามีไขมันสูงเกินปกติหรือไม่ ซึ่งสามารถนำไปใช้วางแผนการดูแลสุขภาพของตัวเองต่อไปได้ นับเป็นประโยชน์ (benefit) แต่นักวิจัยต้องเจาะเลือดอาสาสมัครเพื่อให้ได้ตัวอย่างเลือด อาสาสมัครก็จะได้รับโทษหรือภาระจากการวิจัย (burden) ได้แก่ ต้องเจ็บตัวขณะถูกเก็บตัวอย่างเลือด และเมื่อนักวิจัยกับอาสาสมัครสร้างข้อตกลงร่วมกันแล้วว่า จะเก็บตัวอย่างเลือดเพื่อนำไปตรวจวัดไขมันในเลือดเท่านั้น ผลที่นักวิจัยและอาสาสมัครได้รับย่อมเป็นการทราบปริมาณไขมันในเลือดของอาสาสมัคร ไม่ได้รับสิ่งอื่นมากหรือน้อยไปกว่านั้น ถือเป็นความยุติธรรมในแง่ที่อาสาสมัครสมควรได้รับ เป็นต้น

Image

          ผู้อ่านอาจพบว่า แนวคิดของความยุติธรรมตามรายงานเบลมองต์ไม่ใช่เรื่องยากมากหากคิดตามตัวอย่างข้างต้น อย่างไรก็ตาม ความยุติธรรมกลับเป็นหลักการหนึ่งที่นักวิจัยไม่ให้ความสนใจมากเท่าที่ควรด้วยหลากหลายสาเหตุ

          นักวิจัยที่ทำงานกับอาสาสมัครมนุษย์เป็นประจำ ไม่ว่าจะเป็นในเชิงชีวเวชศาสตร์ของวิทยาศาสตร์สุขภาพทั่วไปหรือพฤติกรรมศาสตร์ในส่วนของการศึกษาวิทยาศาสตร์สุขภาพ ก็ยังสามารถทำให้อาสาสมัครอยู่ในความเสี่ยงที่จะไม่ได้รับความยุติธรรมได้เช่นกัน และสาเหตุที่ทำให้เกิดความผิดพลาดเช่นนั้นอาจมาจากสิ่งที่นักวิจัยอย่างพวกเราทุกคนมองว่าเป็นเรื่องปกติ อย่างเช่น รูปแบบการทดลอง ก็เป็นได้ ตามที่ผู้เขียนอยากจะยกกรณีสมมุติให้ผู้อ่านพิจารณาดังต่อไปนี้

          อาจารย์แพทย์เจ้าของรายวิชากายวิภาคศาสตร์ท่านหนึ่งค้นพบแอปพลิเคชันที่สามารถใช้ศึกษาตำแหน่งและหน้าที่ของอวัยวะต่าง ๆ ภายในร่างกายมนุษย์ และสงสัยว่าแอปพลิเคชันนี้จะช่วยให้นักศึกษาแพทย์มีผลการเรียนวิชากายวิภาคศาสตร์ดีขึ้นหรือไม่ จึงออกแบบการวิจัยที่แบ่งนักศึกษาแพทย์ผู้ยินยอมเข้าร่วมวิจัยออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่

1. กลุ่มควบคุม (control group) ที่นักศึกษาในกลุ่มจะต้องศึกษาด้วยการนั่งฟังบรรยาย และเข้าห้องปฏิบัติการผ่าร่างอาจารย์ใหญ่เท่านั้น

2. กลุ่มทดลอง (intervention group) ที่นักศึกษาจะต้องศึกษาด้วยการนั่งฟังบรรยาย เข้าห้องปฏิบัติการผ่าร่างอาจารย์ใหญ่ และทบทวนบทเรียนด้วยการใช้แอปพลิเคชันที่อาจารย์แพทย์ผู้วิจัยกำหนด

          ตัวอย่างข้างต้นเป็นการวิจัยเชิงทดลอง (experimental research) ที่มีการแบ่งกลุ่มเพื่อเปรียบเทียบผล ซึ่งทำให้ผู้วิจัยสังเกตความแตกต่างของผลที่เกิดจากตัวแปรที่ต้องการศึกษาได้ชัดเจน อย่างไรก็ตาม รูปแบบการทดลองเช่นนี้อาจก่อให้เกิดปัญหาด้านความยุติธรรมตามรายงานของเบลมองต์ ได้แก่

          1. หากแอปพลิเคชันที่อาจารย์แพทย์ผู้วิจัยต้องการศึกษาทำให้ผลการเรียนวิชากายวิภาคศาสตร์ของนักศึกษาแพทย์ในกรณีตัวอย่างนี้ดีขึ้นจริง ผู้ที่ได้รับประโยชน์จากการวิจัยครั้งนี้อาจจำกัดอยู่เพียงแค่นักศึกษาแพทย์ที่อยู่ในกลุ่มทดลอง ในขณะที่นักศึกษาแพทย์ในกลุ่มควบคุมไม่ได้ประโยชน์อะไรจากการวิจัย
          2. นอกจากจะไม่ได้ประโยชน์แล้ว นักศึกษาแพทย์ในกลุ่มควบคุมอาจยังเสียโอกาสในการได้รับความรู้ทางกายวิภาคศาสตร์เพิ่มเติมจากแอปพลิเคชันที่ตนเองไม่ได้ใช้ และในกรณีที่การวิจัยนี้มีผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน  อาจก่อให้เกิดผลเสียต่ออนาคตของนักศึกษาแพทย์ เช่น นักศึกษาแพทย์ไม่สามารถขอทุนการศึกษา หรือขอศึกษาต่อในสาขาความรู้ที่สนใจ เพราะผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนตกต่ำลงจากการเข้าร่วมวิจัย จนไม่ผ่านเกณฑ์การคัดเลือกเป็นผู้มีสิทธิรับทุนการศึกษาหรือเข้าเรียนต่อในสาขาความรู้นั้น เป็นต้น
แล้วพวกเราจะต้องทำอย่างไร เพื่อไม่ให้เกิดผลเสียจากการวิจัยเช่นนี้ ?

          รายงานเบลมองต์เสนอแนะให้นักวิจัยออกแบบกระบวนการคัดเลือกอาสาสมัครเข้าร่วมวิจัยอย่างระมัดระวัง เป็นแนวทางสำคัญที่จะทำให้การวิจัยถูกต้องตามหลักความยุติธรรม ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ระดับ ดังนี้

          1. ความยุติธรรมระดับบุคคล (Individual justice) หมายถึง นักวิจัยจะต้องมีความเป็นธรรม แจกจ่ายประโยชน์หรือภาระแก่อาสาสมัครผู้เข้าร่วมวิจัยอย่างเท่าเทียม ทำให้เกิด fairness in distribution ตามนิยามครึ่งแรกของความยุติธรรมในรายงานเบลมองต์
          2. ความยุติธรรมระดับสังคม (Societal justice) หมายถึง นักวิจัยต้องทำความเข้าใจว่าบุคคลที่มีสถานะทางสังคมแตกต่างกันมีความสามารถในการรับภาระหรือความเสี่ยงแตกต่างกัน และจะต้องคัดเลือกผู้ที่มีคุณสมบัติเป็นอาสาสมัครเข้าร่วมวิจัยที่มีความสามารถในการรับความเสี่ยงได้อย่างเหมาะสมกับการวิจัยของตัวเอง ทำให้อาสาสมัครเข้าร่วมวิจัย รวมถึงตัวนักวิจัยเองได้รับ what is deserved หรือสิ่งที่สมควรได้รับตามบทบาททางสังคม อันเป็นนิยามครึ่งหลังของความยุติธรรมในรายงานเบลมองต์

          เราสามารถนำแนวปฏิบัติข้างต้นมาประยุกต์ใช้ในสถานการณ์ตัวอย่างที่ถูกยกมาก่อนหน้าได้ โดยหากอาจารย์แพทย์ผู้วิจัยเจ้าของกายวิภาคศาสตร์คนเดิมยังต้องการทำงานวิจัยศึกษาแอปพลิเคชันตัวเดิม เขาสามารถออกแบบการวิจัยใหม่ที่ยึดหลักความยุติธรรมได้ ดังนี้

          1. ยึดความยุติธรรมระดับบุคคล ด้วยการแบ่งกลุ่มนักศึกษาผู้เข้าร่วมวิจัยอย่างเป็นกลาง ไม่คัดเลือกนักศึกษาแพทย์ที่ตัวเองคิดว่าต้องการความช่วยเหลือทางการเรียนเป็นพิเศษด้วยแอปพลิเคชันที่ตนสนใจไปอยู่ในกลุ่มทดลอง หรือคัดนักศึกษาแพทย์ที่ตนคิดว่าไม่ต้องใช้แอปพลิเคชันก็สามารถเรียนรู้วิชากายวิภาคศาสตร์ได้อย่างไม่มีปัญหาไปอยู่ในกลุ่มควบคุม แต่ใช้การแบ่งกลุ่มแบบสุ่ม (random allocation) ให้นักศึกษาแพทย์ผู้เข้าร่วมวิจัยทุกคนมีโอกาสเข้าไปอยู่กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเท่า ๆ กัน
          2. ยึดความยุติธรรมระดับสังคม เช่น ในกรณีที่อาจารย์แพทย์สอนวิชากายวิภาคศาสตร์นักศึกษารวมถึงแพทย์ในหลายระดับชั้นปี และความเชี่ยวชาญ อาจารย์แพทย์อาจเลือกกลุ่มประชากรที่ต้องการศึกษาเป็นแพทย์ใช้ทุนหรือแพทย์ประจำบ้านแทนนักศึกษาแพทย์ระดับชั้นปริญญาตรี เพราะแพทย์ใช้ทุน หรือแพทย์ประจำบ้านเป็นผู้ใหญ่ที่บรรลุนิติภาวะแล้ว ซึ่งนอกจากจะทำให้เป็นบุคคลอิสระ (autonomous persons) ตามหลักความเคารพในบุคคลที่เคยกล่าวถึงใน SHEE Research ฉบับก่อนแล้ว แพทย์กลุ่มนี้ก็ยังมีความสามารถที่จะรับความเสี่ยงได้มากกว่านักศึกษาแพทย์ที่อายุน้อยกว่าด้วย

          นักวิจัยยังสามารถยึดหลักความยุติธรรมในช่วงระหว่างการทำวิจัย ด้วยการปฏิบัติต่ออาสาสมัครเข้าร่วมวิจัยทุกคนอย่างเท่าเทียม ไม่ว่าอาสาสมัครจะเป็นคนในกลุ่มเพศ เชื้อชาติ ศาสนา หรือสถานะทางสังคมใด เช่น อาสาสมัครผู้เข้าร่วมวิจัยที่มีความหลากหลายทางเพศจะต้องได้รับการปฏิบัติจากนักวิจัยไม่ต่างไปจากอาสาสมัครที่เป็นหญิงหรือชายตรงเพศ นอกจากนี้ นักวิจัยก็ยังสามารถทำให้ความยุติธรรมเกิดขึ้นได้หลังการวิจัย ด้วยการให้ผลการวิจัยที่ก่อให้เกิดประโยชน์แก่ผู้เข้าร่วมวิจัยทุกกลุ่ม เช่น อาจารย์แพทย์ผู้วิจัยแอปพลิเคชันสอนวิชากายวิภาคศาสตร์ในตัวอย่างข้างต้นอาจจะยังดำเนินการวิจัยด้วยการแบ่งกลุ่มควบคุมและทดลองแบบเดิมตามที่วางแผนไว้ตั้งแต่ต้นก็ได้ แต่เมื่อจบการทดลองแล้ว อาจารย์แพทย์ผู้วิจัยควรให้สิทธิ์นักศึกษาในกลุ่มควบคุมเข้าถึงแอปพลิเคชันที่นักศึกษาในกลุ่มทดลองได้ใช้ไปแล้วด้วย เพื่อให้นักเรียนทุกกลุ่มได้รับโอกาสในการพัฒนาทางการเรียนอย่างเท่าเทียม

          ความยุติธรรม โดยแท้จริงเป็นแนวคิดที่เรียบง่าย แต่เพราะเป็นเช่นนั้น จึงอาจจะถูกมองข้ามบ่อยครั้งแม้กระทั่งในบริบทของการวิจัยการศึกษาวิทยาศาสตร์สุขภาพที่ผู้วิจัยต้องคลุกคลีและผูกพันกับผู้คนเป็นประจำ กระนั้น ผู้เขียนก็เชื่อว่าแนวปฏิบัติเพื่อให้ผลงานวิจัยมีความยึดมั่นในหลักการข้อที่สามตามรายงานเบลมองต์นี้ก็ไม่ได้ยากเกินไปสำหรับผู้อ่านที่รักทุกท่าน ในฉบับต่อไป เราจะได้ทำความรู้จักกับหลักการที่ยังเหลืออีกหนึ่งข้อของรายงานเบลมองต์ ว่าด้วยหลักผลประโยชน์ (beneficence) ซึ่งจะมีเนื้อความที่เข้ากับบริบททางการศึกษาวิทยาศาสตร์สุขภาพอย่างไรนั้น ก็ขอให้ผู้อ่านทุกท่านตั้งตา ตั้งใจ รอพบกับ SHEE research อีกครั้งในคราวหน้า ไม่นานเกินรอค่ะ

References

  1. U.S. Department of Health and Human Services. The Belmont Report [Internet]. Washington, D.C.: HHS.gov; [cited 2025 Aug 29]. Available from: https://www.hhs.gov/ohrp/regulations-and-policy/belmont-report/read-the-belmont-report/index.html
  2. CITI Program. Collaborative Institutional Training Initiative (CITI Program) [Internet]. [cited 2025 Aug 29]. Available from: https://about.citiprogram.org/
  3. Chokewiwat V, Posayanont T. The Belmont Report (รายงานเบลมองต์) [Internet]. Bangkok: War Veterans Organization of Thailand under Royal Patronage; 2008 [cited 2025 Aug 29]. Available from: https://ihrp.hsri.or.th/blog/the-belmont-report

ดร.พีรดา งามเสน่ห์
ผู้ช่วยอาจารย์
ศูนย์ความเป็นเลิศด้านการศึกษาวิทยาศาสตร์สุขภาพ (SHEE)
คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล
email : peerada.nga@mahidol.ac.th

แนะนำสำหรับคุณ





ท่านสามารถเก็บคะแนน CPD / CME ได้จากระบบ SHEE Online Course โดยสามารถ Click ที่ปุ่มด้านล่างนี้เพื่อเข้าสู่ระบบ

 

Free Joomla! templates by Engine Templates