- 01) Executive Talk: Educating Health Systems Science in a Medical School (36 views)
- 02) Teaching Health Systems Science and Systems Thinking for Complex Problem-Solving in Health Systems (64 views)
- 03) ปัจจัยสำคัญที่มีอิทธิพลต่อการหล่อหลอมบัณฑิตแพทย์ให้เป็นผู้สร้างการเปลี่ยนแปลง และวิธีการจัดการเรียนการสอนสำหรับศาสตร์ระบบสุขภาพ (35 views)
- 04) Teaching Health Systems Science (HSS) in Postgraduate Education (34 views)
- 05) Assessment of Health Systems Science Competencies in Medical Schools (84 views)
- 06) Message from Deputy Dean (27 views)
- 07) Students’ voice: Students' Perspectives on Lesson in Health Systems Science (17 views)
- 08) เชิด - ชู: บทสัมภาษณ์ผู้ได้รับรางวัลทุนเจ้าพระยาพระเสด็จสุเรนทราธิบดี ประจำปี 2566 (17 views)
- 09) สับ สรรพ ศัพท์: ระบบนิเวศของการดูแลสุขภาพ, การดูแลรักษาแบบเน้นคุณค่า, สุขภาพประชากร, และวิธีคิดเชิงระบบ (26 views)
- 10) Educational movement: Health Systems Science Education in Thai Health Science Schools (19 views)
- 11) SHEE sharing: แพทย์ยุคใหม่กับแนวคิดพลเมืองของระบบสุขภาพ (17 views)
- 12) SHEE Research - Considering the Belmont Report in Health Science Education Research (2): Justice (20 views)
- 13) Click&Go with Technology - How Should We Teach Health Systems Science in the Age of Artificial Intelligence (29 views)
- 14) SHEE Podcast (20 views)
- 15) Gallery (19 views)
11
System Citizenship:
Re-Envisioning the Physician Role as Part of the Sixth Wave of Professionalism
แพทย์ใช้ทุน
ศูนย์ความเป็นเลิศด้านการศึกษาวิทยาศาสตร์สุขภาพ (SHEE)
คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล

ในช่วงศตวรรษที่ผ่านมา บทบาทของแพทย์มีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง จากเดิมแพทย์มีบทบาทเป็นผู้เชี่ยวชาญทางวิชาการและเป็นผู้ดูแลให้การรักษาผู้ป่วย แต่ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์ควบคู่ไปกับการเปลี่ยนแปลงของระบบบริการสุขภาพ ได้ทำให้การปฏิบัติงานของแพทย์ไม่อาจดำเนินไปโดยไม่คำนึงถึง ความซับซ้อนของระบบสุขภาพ การเพิ่มขึ้นของปัจจัยทางสังคมที่กำหนดสุขภาพ (social determinants of health) ความเหลื่อมล้ำด้านการเข้าถึงบริการ และความคุ้มค่าของการรักษา ล้วนเป็นโจทย์สำคัญที่แพทย์ยุคใหม่ต้องเผชิญและต้องการวิธีคิดและทักษะที่หลากหลายกว่าที่ผ่านมา
ปัจจุบันแนวคิดเรื่อง “ความเป็นมืออาชีพ” (professionalism) ของแพทย์ได้พัฒนาไปสู่สิ่งที่นักวิชาการบางกลุ่มเรียกว่า “คลื่นลูกที่หก” (the sixth wave of professionalism) ซึ่งไม่เพียงแต่เน้นย้ำความรับผิดชอบต่อผู้ป่วยรายบุคคล แต่ยังมองว่า แพทย์ต้องมีความรับผิดชอบต่อระบบสุขภาพโดยรวมในฐานะส่วนหนึ่งของเครือข่ายที่ซับซ้อน การปรับตัวครั้งใหม่นี้สะท้อนว่า การประกอบวิชาชีพแพทย์ในศตวรรษที่ 21 จำเป็นต้องมีทั้งความเชี่ยวชาญเชิงคลินิกและความเข้าใจเชิงระบบ ควบคู่ไปกับความสามารถในการทำงานร่วมกับผู้อื่น และการเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง
ในมุมมองของการศึกษาวิทยาศาสตร์สุขภาพ ความเปลี่ยนแปลงนี้ หมายถึง การที่สถาบันการศึกษา และสภาพแวดล้อมทางคลินิกจำเป็นต้องพัฒนาแพทย์ที่มีทั้งความเชี่ยวชาญทางคลินิก และความสามารถในการคิดเชิงระบบ (systems thinking) ควบคู่กัน การสร้างอัตลักษณ์วิชาชีพของนักศึกษาแพทย์และแพทย์ประจำบ้านจึงไม่เพียงมุ่งเน้นทักษะการรักษา แต่ต้องปลูกฝังความสามารถในการทำงานเป็นทีมสหสาขา การคิดเชิงนโยบาย และการเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง เพื่อให้แพทย์รุ่นใหม่สามารถตอบสนองต่อความท้าทายของระบบสุขภาพได้อย่างแท้จริง

SHEE Journal ฉบับนี้ผู้เขียนขอนำเสนอบทความ System Citizenship: Re-Envisioning the Physician Role as Part of the Sixth Wave of Professionalism ที่เผยแพร่ใน The American Journal of Medicine (2023) ซึ่งได้เสนอกรอบคิดใหม่ “system citizenship” เพื่อย้ำว่าการเป็นแพทย์ยุคใหม่คือ การเป็นทั้งผู้ดูแลผู้ป่วยและพลเมืองของระบบสุขภาพไปพร้อมกัน กรอบคิดนี้ไม่เพียงชี้ทิศทางของวิชาชีพแพทย์ แต่ยังเป็นแรงบันดาลใจสำคัญในการออกแบบและพัฒนาการศึกษาแพทย์ไทยในอนาคต
แนวคิด System Citizenship เกิดขึ้นจากการมองว่าบทบาทของแพทย์ไม่ควรถูกจำกัดอยู่แค่การรักษาผู้ป่วยรายบุคคลอีกต่อไป แต่ควรขยายไปถึงการมีส่วนร่วมในการดูแลระบบสุขภาพโดยรวม ผู้เขียนบทความอธิบายว่า แพทย์ในศตวรรษที่ 21 ต้องทำหน้าที่เสมือน “พลเมืองของระบบ” (citizen of the system) ที่มีความรับผิดชอบต่อทั้งผู้ป่วย ประชากร และกลไกของระบบสุขภาพที่ตนทำงานอยู่
การเป็น system citizen จึงไม่ได้จำกัดเพียงการมีความรู้ทางคลินิก แต่คือการพัฒนาทักษะการคิดเชิงระบบ (systems thinking) เพื่อมองเห็นความเชื่อมโยงระหว่างปัจจัยต่าง ๆ ในระบบ ตั้งแต่ระดับผู้ป่วยไปจนถึงระดับนโยบาย ทั้งนี้เพราะว่าสุขภาพของผู้ป่วยไม่อาจแยกออกจากบริบทของสังคม เศรษฐกิจ และโครงสร้างบริการได้
นอกจากนี้ คุณสมบัติของ system citizen ยังสะท้อนถึงความเป็นมืออาชีพแบบใหม่ ได้แก่ ความถ่อมตนและการเปิดใจรับฟัง การทำงานร่วมกับผู้อื่นอย่างแท้จริง การมีความยืดหยุ่นต่อความไม่แน่นอน และการพร้อมเป็นผู้ริเริ่มปรับปรุงระบบเพื่อคุณภาพและความเสมอภาคของการดูแล คุณลักษณะเหล่านี้ทำให้ citizen แตกต่างจากแพทย์ที่ปฏิบัติงานเพียงในกรอบดั้งเดิมที่เน้นผู้ป่วยรายบุคคลเท่านั้น ในเชิงบทบาท system citizen ไม่ได้เป็นเพียงผู้รักษา แต่ยังทำหน้าที่หลากหลาย ทั้งในฐานะผู้ทำงานร่วมทีม (collaborator), ผู้ประเมินระบบ (evaluator), ผู้ผลักดันการเปลี่ยนแปลง (advocate), และผู้สอนหรือที่ปรึกษา (coach/consultant) การมีบทบาทที่กว้างขวางนี้ช่วยให้แพทย์ไม่เพียงแต่ตอบสนองต่อความต้องการของผู้ป่วย แต่ยังมีส่วนร่วมในการพัฒนาระบบสุขภาพให้มีคุณภาพและยั่งยืนมากขึ้น
ท้ายที่สุด แนวคิด system citizenship จึงเป็นการขยายขอบเขตของ professionalism จากความรับผิดชอบต่อผู้ป่วยรายบุคคล ไปสู่ความรับผิดชอบต่อระบบโดยรวม แพทย์ยุคใหม่จึงต้องเติบโตเป็นทั้ง “ผู้ดูแลผู้ป่วย” และ “พลเมืองของระบบสุขภาพ” ที่มีบทบาทร่วมในการสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกต่อสังคมและระบบบริการในระยะยาว
ผู้เขียนบทความมองว่า ระบบสุขภาพเปรียบเสมือน “ประเทศ” ที่มี อัตลักษณ์ ภาษา และวัฒนธรรมของตนเอง ภายในประเทศแห่งนี้ แพทย์และบุคลากรสุขภาพคือพลเมืองที่ดำเนินชีวิตและทำงานอยู่ร่วมกัน หากต้องการให้แพทย์เติบโตไปเป็น system citizen ได้อย่างแท้จริง ประเทศสุขภาพจำเป็นต้องจัดเงื่อนไขสนับสนุน (affordances) ที่เกื้อกูลต่อการเรียนรู้และการปฏิบัติ
เงื่อนไขสนับสนุนประการแรกคือ การมีแบบอย่าง หรือ role model ที่สะท้อนถึงการใช้ความคิดเชิงระบบ อาจารย์แพทย์และผู้ปฏิบัติที่ทำงานอย่างมีวิสัยทัศน์ มองเห็นความเชื่อมโยงของคุณภาพ ความปลอดภัย และทรัพยากร จะทำให้ผู้เรียนซึมซับทัศนคติและพฤติกรรมที่สอดคล้องกับการเป็นพลเมืองระบบ
อีกเงื่อนไขสนับสนุนที่สำคัญคือ การบูรณาการ health systems science และ systems-based practice เข้าสู่หลักสูตรการเรียนการสอน การเรียนรู้ที่เชื่อมโยงกับปัญหาเชิงระบบ เช่น ความเหลื่อมล้ำด้านสุขภาพ นโยบายการจัดการทรัพยากร และการปรับปรุงคุณภาพบริการ จะช่วยให้นักศึกษาแพทย์และแพทย์ประจำบ้านพัฒนาอัตลักษณ์ของ system citizen ได้อย่างมั่นคง
ในมิติของเทคโนโลยี เงื่อนไขสนับสนุนที่ขาดไม่ได้คือ ระบบข้อมูลที่มีคุณภาพ เช่น electronic health records ที่สามารถเชื่อมโยงข้อมูลด้านต้นทุน คุณภาพการดูแล และ social determinants of health สิ่งเหล่านี้ช่วยให้ทั้งผู้เรียนและแพทย์ผู้ปฏิบัติมองเห็นปัญหาเชิงระบบได้ชัดเจนขึ้น และสามารถใช้ข้อมูลในการขับเคลื่อนการพัฒนาอย่างเป็นรูปธรรม
นอกจากนี้ การออกแบบประสบการณ์การเรียนรู้จริง ก็เป็นอีกหนึ่งเงื่อนไขสนับสนุน ผู้เรียนควรได้มีโอกาสเข้าร่วมโครงการปรับปรุงคุณภาพ การทำงานเป็นทีมสหสาขาวิชาชีพ และการเผชิญสถานการณ์จริงในระบบบริการ การเรียนรู้ผ่านการลงมือปฏิบัติและการมีส่วนร่วมโดยตรง จะทำให้การเป็น system citizen ไม่ใช่เพียงแนวคิดในห้องเรียน แต่เป็นทักษะที่ฝังรากลึกในอัตลักษณ์ของผู้เรียน
หากประเทศสุขภาพไม่สร้างเงื่อนไขสนับสนุนเหล่านี้ การเป็น system citizen ก็จะไม่อาจเกิดขึ้นได้จริงและยังคงเป็นเพียงทฤษฎี แต่หากประเทศลงทุนและปรับตัวเพื่อจัด affordances ที่เหมาะสม แพทย์ก็จะมีโอกาสเติบโตเป็นพลเมืองระบบที่เข้มแข็ง และระบบสุขภาพเองก็จะได้ประโยชน์จากพลังของ citizen ที่พร้อมจะร่วมขับเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างยั่งยืน
แม้แนวคิด system citizenship จะสะท้อนทิศทางใหม่ที่มีพลังในการขยายขอบเขตของความเป็นมืออาชีพทางการแพทย์ แต่การนำมาปฏิบัติจริงยังเต็มไปด้วยความท้าทาย ประการแรกคือ แพทย์จำนวนไม่น้อยยังไม่ได้รับการฝึกฝนด้าน systems thinking และ systems - based practice อย่างเพียงพอ การเรียนการสอนส่วนใหญ่ยังคงเน้นความรู้และทักษะทางคลินิก ทำให้เมื่อเข้าสู่การปฏิบัติงานจริง แพทย์จำนวนหนึ่งอาจไม่เห็นคุณค่า หรือขาดทักษะที่จะทำงานในมิติของระบบ
อีกประเด็นสำคัญคือ สภาพแวดล้อมการเรียนรู้ที่ไม่เอื้อต่อการพัฒนาความเป็นพลเมืองระบบ ผู้เรียนหลายคนอาจต้องการฝึกฝนทักษะด้านคุณภาพ ความปลอดภัย หรือการดูแลเชิงระบบ แต่กลับพบว่าสิ่งแวดล้อมจริงกลับเต็มไปด้วยแรงกดดันที่เน้นงานประจำวันหรือผลลัพธ์เฉพาะหน้ามากกว่า สภาพแวดล้อมเช่นนี้ไม่เพียงขาดการสนับสนุน แต่ยังอาจทำหน้าที่เป็น “เงื่อนไขลบ” ที่บั่นทอนความพยายามของผู้เรียนในการเติบโตเป็น system citizen
นอกจากนี้ ยังมีคำถามเชิงวิจัยที่ยังไม่ได้รับคำตอบชัดเจน เช่น system citizenship ควรเริ่มพัฒนาตั้งแต่ช่วงใดของเส้นทางวิชาชีพ จะประเมินคุณลักษณะนี้ได้อย่างไร และจะเลือกหรือส่งเสริมผู้เรียนที่มีแนวโน้มเติบโตในทิศทางนี้ได้ด้วยวิธีการใด คำถามเหล่านี้สะท้อนว่ายังต้องมีการวิจัยและพัฒนาเกณฑ์ประเมินที่เหมาะสม รวมถึงต้องกำหนด เงื่อนไขสนับสนุน (affordances) ให้ชัดเจนยิ่งขึ้นว่า ประเทศสุขภาพควรจัดอะไรให้ citizen บ้าง
ในแง่ของการออกแบบระบบ ยังมีความท้าทายในการสร้างความสมดุลระหว่างเป้าหมายเชิงธุรกิจหรือนโยบายขององค์กรกับเป้าหมายการศึกษาและการพัฒนาคุณภาพ หากองค์กรยังมองการศึกษาเป็นเพียงภาระ ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของกระบวนการพัฒนาระบบ เงื่อนไขสนับสนุนก็จะไม่ถูกสร้างขึ้น และความร่วมมือแบบ co-production ก็ไม่เกิดผลอย่างแท้จริง
อย่างไรก็ตาม ความท้าทายเหล่านี้ ก็เปิดประตูสู่แนวทางในอนาคต การกำหนดลักษณะ ความรู้ และพฤติกรรมของ system citizen อย่างเป็นระบบ การพัฒนาวิธีประเมินที่เชื่อถือได้ และการสร้างสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ที่เกื้อกูล ล้วนเป็นภารกิจสำคัญ การลงทุนใน affordances เช่น role model ที่มีคุณภาพ ระบบข้อมูลที่โปร่งใส และหลักสูตรที่บูรณาการกับการปฏิบัติจริง จะช่วยเปลี่ยนแนวคิด system citizenship ให้เป็นความจริงในวงการแพทย์
โดยสรุป ความท้าทายที่เราพบไม่ใช่เหตุผลที่จะถอยห่าง แต่เป็นแรงผลักดันให้เกิดการพัฒนาแนวทางใหม่ๆ เพื่อทำให้แพทย์ในอนาคตเติบโตเป็นทั้งผู้รักษาผู้ป่วยและพลเมืองของระบบสุขภาพได้อย่างแท้จริง
ประวัติศาสตร์ของวิชาชีพแพทย์คือ เรื่องราวของการปรับตัวอย่างต่อเนื่องต่อความเปลี่ยนแปลงของสังคมและระบบบริการสุขภาพ จากยุคที่แพทย์ถูกมองว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญทางวิทยาศาสตร์ที่ดูแลผู้ป่วยรายบุคคล มาจนถึงศตวรรษที่ 21 ที่ความซับซ้อนของระบบบังคับให้แพทย์ต้องขยายบทบาทของตนเองมากกว่าเดิม บทความ System Citizenship: Re-Envisioning the Physician Role as Part of the Sixth Wave of Professionalism ชี้ให้เห็นว่า คำตอบของความท้าทายนี้อยู่ที่แนวคิด system citizenship ซึ่งคือการที่แพทย์ทำหน้าที่ไม่เพียงดูแลผู้ป่วย แต่ยังเป็น “พลเมืองของระบบสุขภาพ” ที่มีความรับผิดชอบต่อคุณภาพ ความเสมอภาค และความยั่งยืนของระบบโดยรวม
สำหรับการประยุกต์ในการศึกษาวิทยาศาสตร์สุขภาพบทเรียนจากแนวคิดในบทความนี้สะท้อนว่า เราจำเป็นต้องออกแบบหลักสูตร ประสบการณ์การเรียนรู้ และวัฒนธรรมองค์กรที่ทำให้ผู้เรียนตระหนักถึงความเชื่อมโยงระหว่างการดูแลผู้ป่วยกับระบบสุขภาพในภาพรวม ไม่ว่าจะเป็นการบูรณาการ health systems science เข้าสู่การเรียนการสอน การสร้าง role model ที่มีวิธีคิดเชิงระบบ หรือการเปิดพื้นที่ให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการปรับปรุงคุณภาพบริการ
แนวคิดจากบทความนี้ไม่เพียงเป็นทฤษฎีเชิงนโยบาย หากแต่ให้แนวทางปฏิบัติที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาการศึกษาวิทยาศาสตร์สุขภาพ เพื่อผลิตบุคลากรที่มีศักยภาพในการเป็นทั้งผู้รักษาผู้ป่วยและผู้ร่วมพัฒนาระบบสุขภาพไปพร้อมกัน ซึ่งจะเป็นรากฐานสำคัญของระบบสุขภาพที่ยั่งยืนในอนาคต


References
- Gonzalo JD, DeWaters AL, Thompson B, Mazotti L, Riegels N, Cooney R, Reilly JB, Wolpaw T, Wolpaw DR. System citizenship: re‑envisioning the physician role as part of the sixth wave of professionalism. Am J Med 2023;136(6):596‑603.
นพ.ธนภัทร ประกายรุ้งทอง
แพทย์ใช้ทุน
ศูนย์ความเป็นเลิศด้านการศึกษาวิทยาศาสตร์สุขภาพ (SHEE)
คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล
email :