- 01) Executive Talk: Educating Health Systems Science in a Medical School (36 views)
- 02) Teaching Health Systems Science and Systems Thinking for Complex Problem-Solving in Health Systems (63 views)
- 03) ปัจจัยสำคัญที่มีอิทธิพลต่อการหล่อหลอมบัณฑิตแพทย์ให้เป็นผู้สร้างการเปลี่ยนแปลง และวิธีการจัดการเรียนการสอนสำหรับศาสตร์ระบบสุขภาพ (34 views)
- 04) Teaching Health Systems Science (HSS) in Postgraduate Education (33 views)
- 05) Assessment of Health Systems Science Competencies in Medical Schools (83 views)
- 06) Message from Deputy Dean (26 views)
- 07) Students’ voice: Students' Perspectives on Lesson in Health Systems Science (17 views)
- 08) เชิด - ชู: บทสัมภาษณ์ผู้ได้รับรางวัลทุนเจ้าพระยาพระเสด็จสุเรนทราธิบดี ประจำปี 2566 (17 views)
- 09) สับ สรรพ ศัพท์: ระบบนิเวศของการดูแลสุขภาพ, การดูแลรักษาแบบเน้นคุณค่า, สุขภาพประชากร, และวิธีคิดเชิงระบบ (26 views)
- 10) Educational movement: Health Systems Science Education in Thai Health Science Schools (19 views)
- 11) SHEE sharing: แพทย์ยุคใหม่กับแนวคิดพลเมืองของระบบสุขภาพ (16 views)
- 12) SHEE Research - Considering the Belmont Report in Health Science Education Research (2): Justice (19 views)
- 13) Click&Go with Technology - How Should We Teach Health Systems Science in the Age of Artificial Intelligence (28 views)
- 14) SHEE Podcast (20 views)
- 15) Gallery (18 views)
07
Students’ voice
แพทย์ใช้ทุน
ศูนย์ความเป็นเลิศด้านการศึกษาวิทยาศาสตร์สุขภาพ (SHEE)
คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล

ผู้ให้สัมภาษณ์มีความเห็นไปในทิศทางเดียวกันว่า วิทยาศาสตร์ระบบสุขภาพ คือ ศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับระบบที่มีความสัมพันธ์กับการดำเนินการบริบาลด้านสุขภาพ ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับผู้ให้สัมภาษณ์ทั้งทางตรงและทางอ้อม เนื่องจากเป็นสิ่งที่กำหนดและส่งผลต่อการประกอบวิชาชีพในอนาคต ผู้ให้สัมภาษณ์จึงเล็งเห็นถึงความสำคัญในลักษณะต่าง ๆ ของวิทยาศาสตร์ระบบสุขภาพที่มีอิทธิพลต่อการปฏิบัติงานและการดูแลผู้ป่วย โดยสามารถสรุปเป็นประเด็นหลัก ๆ ได้ดังต่อไปนี้
- สร้างความปลอดภัยแก่บุคลากร
- สร้าง Patient Safety
- ส่งเสริมการสื่อสารระหว่างสหวิชาชีพ
- ส่งเสริมการสื่อสารกับผู้ป่วย
- ป้องกันความผิดพลาด
- กำหนดค่าใช้จ่าย
- กำหนดนโยบายที่ส่งผลต่อการบริบาลของเจ้าหน้าที่
- สร้างแนวทางในการพัฒนาระบบสุขภาพอย่างต่อเนื่อง

ระหว่างที่ผู้ให้สัมภาษณ์ศึกษาอยู่ในชั้นคลินิก ได้สัมผัสถึงอิทธิพลของระบบสุขภาพที่มีต่อการวางระบบการจัดการในโรงพยาบาล และกำหนดวิธีปฏิบัติงานในชีวิตจริง เช่น ระบบการอยู่เวรข้ามคืน จัดสรรให้บุคลากรที่มีจำกัดอยู่ดูแลผู้ป่วยนอกเวลาราชการ ระบบสิทธิการรักษาพยาบาล กำหนดจำกัดวิธีการตรวจและการรักษา ให้อยู่ภายในกรอบที่สามารถควบคุมค่าใช้จ่ายได้ เป็นต้น
ถึงแม้ว่าผู้สัมภาษณ์ทั้งหมดจะเห็นตรงกันว่าวิทยาศาสตร์ระบบสุขภาพนั้นมีความสำคัญ แต่ผู้ให้สัมภาษณ์บางคนได้แสดงความคิดเห็นว่า การที่จะปรับเปลี่ยนระบบสุขภาพในปัจจุบันและอนาคตได้นั้น ต้องอาศัยอำนาจผู้ออกนโยบายเป็นสำคัญ จึงทำให้มองว่า วิทยาศาสตร์ระบบสุขภาพถึงแม้จะเป็นเรื่องที่ต้องพบเจอและสัมผัสทุกวัน แต่ก็เป็นเรื่องไกลตัวในขณะเวลาเดียวกัน ซึ่งทำให้รู้สึกว่าวิทยาศาสตร์ระบบสุขภาพอาจไม่ได้จำเป็นมากสำหรับการเรียนในหมู่นักศึกษามองว่า เป็นความรู้ที่รู้ก็ดี ไม่รู้ก็ไม่มีผลอะไรมาก และสามารถไปเรียนรู้ระหว่างทำงานในภายหลังได้

“ในฐานะนักศึกษาพยาบาลที่กำลังจะไปเป็นพยาบาลวิชาชีพในอนาคต อาชีพนี้ถือเป็นด่านหน้าที่มีบทบาทสำคัญในการดูแลผู้ป่วยโดยตรง การประสานงานกับสหสาขาวิชาชีพ เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุดของผู้ป่วย และเพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลที่ปลอดภัยและมีคุณภาพ หน้าที่ของพยาบาลไม่เพียงแต่ให้การพยาบาล แต่ยังรวมถึงการป้องกันความผิดพลาด การให้ความรู้แก่ผู้ป่วยและครอบคัว และการรายงานความเสี่ยงหรือปัญหา เพื่อการพัฒนาการดูแลผู้ป่วยในองค์รวม”

“We follow the practice of medicine as the health system organizes us to. However, medicine is an ever evolving field, and just as it is evolving we should make sure that the system that runs it also keeps itself updated.”
ผู้ให้สัมภาษณ์มีความเห็นว่า ระหว่างที่เป็นนักศึกษาอยู่ได้มีการจัดการเรียนหรือกิจกรรมที่มีความเกี่ยวข้องกับระบบสุขภาพอยู่บ้าง ซึ่งมักจะสอดแทรกอยู่ในเนื้อหาของแต่ละภาควิชา โดยเฉพาะวิชาในกลุ่ม community medicine, family medicine, occupational medicine ซึ่งมีเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง เช่น patient safety, infection control, การทำงานร่วมกับสหสาขาวิชาชีพ โดยมักจะผ่านการเรียนในรูปแบบ case discussion, simulation base learning, หรือ OSCE เป็นต้น ถึงกระนั้น ผู้สัมภาษณ์ได้แสดงความเห็นที่ตรงกันว่า ที่ผ่านมาจะได้เรียนรู้จากการพบเจอเคสผู้ป่วยจริงเป็นหลัก กล่าวคือเมื่อได้ปฏิบัติกับผู้ป่วยจริง ไม่ว่าจะซักประวัติ ตรวจร่างกาย ทำหัตถการ หรือวางแผนการรักษา เป็นต้น นั้นคือวิธีที่นักศึกษาได้สัมผัสถึงอิทธิพลของระบบสุขภาพได้ชัดเจนที่สุด และมองเห็นผลลัพธ์ที่มีปัจจัยของระบบเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งมีความแตกต่างจากหลักการที่ได้เรียนในห้องเรียน
สำหรับกิจกรรมที่จัดขึ้นมาให้ความรู้เกี่ยวกับระบบสุขภาพโดยตรงนั้น ผู้ให้สัมภาษณ์มีความเห็นแตกต่างกัน บางคนมองว่ากิจกรรมด้านระบบสุขภาพ หาพบได้ยากและไม่ค่อยมีผู้สนใจมากนัก แต่ในขณะเดียวกันผู้ให้สัมภาษณ์อีกส่วน มีความเห็นเรื่องกิจกรรมด้านระบบสุขภาพว่า สามารถพบเจอได้ไม่ยากและมีจัดอยู่เรื่อย ๆ สำหรับความเห็นที่แตกต่างตรงจุดนี้ อาจจะมีปัจจัยแวดล้อมที่ส่งผลต่อความเห็นของผู้ให้สัมภาษณ์ เช่น สถาบันที่สังกัด หรือความสนใจส่วนบุคคล อาจส่งผลทำให้ช่องทางในการเข้าร่วมกิจกรรมด้านระบบสุขภาพมีในอัตราที่ไม่เท่ากัน
ผู้ให้สัมภาษณ์ได้ชี้ออกมาว่า เนื้อหาการเรียนในระดับนักศึกษาที่มีความเกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์ระบบสุขภาพโดยตรงนั้นค่อนข้างมีจำกัดและไม่มีความชัดเจนมากนัก ยกตัวอย่างเช่น เมื่อกล่าวถึงระบบสุขภาพของประเทศไทยนั้น มักจะมีการหยิบยกประเด็นเรื่องบุคลากรขาดแคลนขึ้นมาพูดถึงอยู่เป็นประจำ แต่ทว่าไม่ได้มีการสอนหรืออธิบายอย่างเป็นระบบ มีแต่เพียงการคุยกันในลักษณะเล่าให้ฟังว่า บุคลากรทางการแพทย์นั้นขาดแคลน ไม่เพียงพอ ทำให้ปริมาณความรับผิดชอบต่อบุคคลากรหนึ่งคนนั้นมากเกินกว่าที่จะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีความเชื่อมโยงถึงระบบสุขภาพที่มีอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งในคาบเรียนไม่ได้อธิบายรายละเอียดแจกแจงถึงเหตุผลและความเกี่ยวข้องของระบบสุขภาพ ที่ส่งผลให้สภาวะการทำงานของวิชาชีพมีลักษณะเช่นนี้ ทำให้นักศึกษาไม่สามารถเข้าใจถึงปัญหาของระบบสุขภาพในปัจจุบันได้อย่างละเอียด

“เรื่องระบบสุขภาพมีสอนในภาควิชาต่าง ๆ อยู่เรื่อย ๆ เช่น เกี่ยวกับ patient safety การเรียนเกี่ยวกับ infection control รวมถึงการฝึกทำงานกับเพื่อนจากพยาบาล เภสัช และสาขาอื่น แต่ไม่ได้เข้าร่วมกิจกรรมด้านวิทยาศาสตร์ระบบสุขภาพโดยตรง เนื่องจากโอกาสไม่อำนวย แต่ก็มีความสนใจที่จะเข้าร่วมเป็นครั้งคราว”

“เข้าร่วมการทำงานร่วมกับสหสาขาวิชาชีพในการเรียนแบบ simulation base learning โดยมีการจำลองการทำงานจริงผ่านกระบวนการประสานงานระหว่างสหสาขาวิชาชีพ และจากการเรียน สามารถเรียนรู้ได้ว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดของการทำงานร่วมกับสหสาขาวิชาชีพอย่างเป็นระบบ ได้แก่ การสื่อสารที่ถูกต้องและมีประสิทธิภาพ หากแต่ละอาชีพมีการสื่อสารที่ถูกต้องและมีประสิทธิภาพ จะทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีที่สุดของผู้ป่วย”
ผู้ให้สัมภาษณ์ได้ให้ความเห็นไปในทางเดียวกันว่า ถ้ามีการสอนที่ใช้วิธีหลากหลายในการส่งเสริมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ระบบสุขภาพ น่าจะทำให้นักศึกษาได้รับความรู้และมีความสนใจในระบบสุขภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งก็ตรงกับแนวทางของภาควิชาที่ปฏิบัติอยู่และพยายามใช้วิธีในรูปแบบต่าง ๆ มาผสมผสานเนื้อหาเชิงระบบสุขภาพเข้าไป เพิ่มเติมคือผู้สัมภาษณ์ได้เสนอให้มีการเพิ่มการสอนแบบ simulation หรือ การจำลองสถานการณ์ ที่มีความจำเพาะ สามารถทำให้เห็นภาพรวมของระบบสุขภาพในสถานการณ์ต่าง ๆ ในมิติที่กว้างขึ้นมากกว่าการดูแลเฉพาะรายบุคคล และจัดให้นักศึกษาได้มีโอกาสได้ลองลงมือกระทำฝึกอย่างจริงจัง รวมทั้งให้นักศึกษาได้ฝึกคิด ว่าหากเกิดเหตุการณ์ในลักษณะหลากหลายรูปแบบที่สามารถพบได้ในการประกอบวิชาชีพจริง ตัวอย่างเช่น เมื่อสิทธิการรักษาของผู้ป่วยส่งผลต่อการตัดสินใจและการรักษา หรือจำนวนผู้ป่วยมีมากเกินกว่าที่จำนวนเตียงของโรงพยาบาลจะรับไว้ได้ บุคลากรจะมีวิธีรับมือหรือป้องกันไม่ให้เกิดความผิดพลาดขึ้นได้อย่างไร ภายใต้กรอบข้อจำกัดของระบบสุขภาพ สำหรับ case studies หรือ scenario อื่น ๆ ก็สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้ในลักษณะเดียวกัน ผู้ให้สัมภาษณ์ชี้ตรงกันว่าการเรียนลักษณะ lecture นั้นอาจให้ความรู้พื้นฐานได้มากและละเอียด แต่ไม่น่าจะเพียงพอที่จะเท่าให้นักศึกษาเข้าใจระบบสุขภาพได้อย่างครอบคลุม จึงอาจใช้ประกอบการสอนร่วมกับรูปแบบอื่นได้ แต่การสอนโดยยึด lecture เป็นหลัก จะไม่ตอบโจทย์ต่อนักศึกษามากนัก
สำหรับประเด็นเนื้อหานั้น ผู้ให้สัมภาษณ์ได้หยิบยก เสนอให้มีการเสริมความรู้ด้านโครงสร้างและรายละเอียดเกี่ยวกับการทำงานในระบบบริการสุขภาพมากขึ้น โดยที่อาจจะต้องยกประเด็นของระบบสุขภาพที่มีผลต่อตัวนักศึกษาที่ชัดเจนขึ้นมาก เช่น ยกประเด็นของระบบสุขภาพที่ส่งผลต่อจิตใจทั้งผู้ป่วยและบุคลากร มาเป็นส่วนหนึ่งของเนื้อหาด้วย เพราะสุขภาพจิตมีผลต่อทั้งการทำงาน การตัดสินใจ และการความสร้างความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ซึ่งระบบที่มีผลเสียต่อสุขภาพจิตควรถูกหยิบยกขึ้นมาศึกษา พิจารณา และถูกแก้ไขในอนาคตอันใกล้
อีกจุดหนึ่งที่ผู้ให้สัมภาษณ์ยกขึ้นมา คือควรเน้นให้มีการเรียนหรือประชุมที่มีการแสดงให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างแผนก ระหว่างภาควิชา หรือระหว่างสหวิชาชีพ ทั้งแพทย์ พยาบาล เภสัช นักกายภาพ และอื่น ๆ เนื่องจากจะสามารถทำให้นักศึกษามองเห็นความเชื่อมโยง มุมมอง ความแตกต่าง และข้อจำกัดต่าง ๆ ที่แต่ละภาคส่วนมีและแสดงแนวทางในการแก้ไขอุปสรรคเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดต่อทุกฝ่ายให้มากที่สุด
ในช่วงระหว่างที่ผู้สัมภาษณ์ศึกษาอยู่ในชั้นคลินิค ผู้สัมภาษณ์ทุกคนได้ประสบพบข้อจำกัดและอุปสรรค รวมถึงส่วนที่สามารถปรับปรุงให้เหมาะสมมากขึ้น ตัวอย่างเช่น ชั่วโมงการปฏิบัติงานที่ยาวนานและไม่สม่ำเสมอ หรืออุปสรรคในการสื่อสารระหว่างวิชาชีพที่แตกต่างกัน ซึ่งผู้สัมภาษณ์ชี้ว่าไม่ทราบวิธีเปลี่ยนแปลง ทั้งในปัจจุบันและอนาคตอย่างแท้จริง ทำได้เพียงแค่เสนอความคิดเห็นและคาดหวังว่าจะมีผู้อื่นมาผลักดันความคิดของตนไปพิจารณา โดยตนเองมีส่วนร่วมได้เพียงเท่านี้ จึงทำให้การที่นักศึกษาเข้าใจในระบบสุขภาพมากยิ่งขึ้น รวมถึงวิธีและแนวทางในการมีส่วนร่วมในการปรับระบบสุขภาพอย่างมีประสิทธิภาพ อาจส่งผลให้นักศึกษามีความคิดและความพยายามในการมีส่วนร่วมในการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงระบบมากขึ้นได้
ในขณะที่ผู้ให้สัมภาษณ์ทั้งหมดมองว่าวิทยาศาสตร์ระบบสุขภาพนั้น นำไปใช้เป็นเครื่องมือในการออกแบบระบบได้จริง แต่ผู้ให้สัมภาษณ์บางส่วนเสนอว่า ขอให้การเรียนการสอนนักศึกษา เน้นย้ำความรู้และการฝึกที่ช่วยเตรียมพร้อมนักศึกษาให้สามารถปรับตัวให้เข้าบริบทของระบบสุขภาพเป็นหลัก เนื่องจากสามารถนำไปใช้ได้จริง และทำให้การทำงานในสภาวะข้อจำกัดที่ต่างกันของแต่ละสถานประกอบการที่มีความแตกต่างกัน เป็นอุปสรรคให้น้อยที่สุด ซึ่งเมื่อสอบถามเพิ่มเติมพบว่า ผู้ให้สัมภาษณ์เข้าใจว่าบทบาทของตนนั้นถูกจำกัดโดยระบบสุขภาพไปในตัวอยู่แล้ว การที่จะแก้ไขระบบตามที่ตนต้องการนั้นไม่ใช่สิ่งที่ทำได้จริง จึงควรมุ่งเน้นด้านการปรับตัวมากกว่าการเปลี่ยนแปลง ซึ่งสอดคล้องกับดังที่กล่าวไปข้างต้น ว่าผู้สัมภาษณ์บางคนมองว่า วิทยาศาสตร์ระบบสุขภาพเป็นเรื่องไกลตัว ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้จริง

“Definitely hands-on experience. Classroom lecture is useful but doesn’t paint as well of a picture as when carried out in the practical field. Perhaps more case studies or scenarios would help adjusting students with the specific conditions of the current healthcare system.”

“ควรสอนโครงสร้างและรายละเอียดเกี่ยวกับการทำงานในระบบสุขภาพ โฟกัสจุดที่สามารถนำไปใช้ได้จริง โดยผ่านการจำลองสถานการณ์ จะเป็นการเรียนรู้ได้ดีที่สุด เพราะเป็นวิธีที่สามารถทำให้เห็นภาพ และได้มีโอกาสได้ลงมือทำอย่างจริงจัง”
โดยภาพรวม นักศึกษาแต่ละชั้นปีมีความคิดเห็นเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ระบบสุขภาพที่มีทั้งความคล้ายคลึงกันและแตกต่างกัน นักศึกษาเห็นตรงกันว่าวิทยาศาสตร์ระบบสุขภาพนั้นมีความสำคัญ มีผลต่อการปฏิบัติงานจริง ส่งผลต่อตนเองและทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง และสมควรมีการสอน มีการให้ความรู้เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ระบบสุขภาพในหมู่นักศึกษามากขึ้น แต่กระนั้นก็ยังไม่ความแตกต่างเรื่องมุมมองของความสัมพันธ์เชิงการปรับระบบโดยใช้วิทยาศาสตร์ระบบสุขภาพ ซึ่งในขณะที่บางคนมองว่านักศึกษามีส่วนร่วมในการปรับปรุงระบบสุขภาพทั้งในปัจจุบันและอนาคตได้ แต่ก็มีอีกส่วนที่มองว่าการเปลี่ยนแปลงระบบสุขภาพนั้นเป็นสิ่งที่เกินเอื้อมสำหรับตนเองมากเกินไป จึงอาจไม่ได้ให้ความสำคัญเรื่องการนำไปใช้เพื่อการเปลี่ยนแปลงมากนัก และใช้สำหรับการปรับตัวในการปฏิบัติงานเป็นหลักเสียมากกว่า จึงอาจตีความได้ว่าถ้ามีการเสริมการเรียนการสอนในหัวข้อวิทยาศาสตร์ระบบสุขภาพมากขึ้น มีโอกาสทำให้นักศึกษามีความเข้าใจ ตระหนักถึงบทบาทของตนเอง รู้สึกมีพลังและส่วนร่วมในการขับเคลื่อนระบบสุขภาพ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อส่วนรวมในอนาคต
ขอขอบคุณผู้ให้สัมภาษณ์
- ศุภธิดา เทพสุติน นักศึกษาพยาบาล ชั้นปีที่ 4 คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
- ชมพูนุท ชำนาญ นักศึกษาพยาบาล ชั้นปีที่ 4 คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
- วัตซัล ซิงห์ นักศึกษาแพทย์ ชั้นปีที่ 5 คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
- กัญจน์ ตันสุหัช นักศึกษาแพทย์ ชั้นปีที่ 5 คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
- กัลย์ชนิต จงธนพิพัฒน์ นักศึกษาแพทย์ ชั้นปีที่ 6 คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
- ภูฟ้า จันทรกลม แพทย์ใช้ทุนชั้นปีที่ 1 โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ
นพ.ธฤต ปัญจวัฒนคุณ
แพทย์ใช้ทุน
ศูนย์ความเป็นเลิศด้านการศึกษาวิทยาศาสตร์สุขภาพ (SHEE)
คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล
email :