- 01) Executive Talk: Educating Health Systems Science in a Medical School (36 views)
- 02) Teaching Health Systems Science and Systems Thinking for Complex Problem-Solving in Health Systems (63 views)
- 03) ปัจจัยสำคัญที่มีอิทธิพลต่อการหล่อหลอมบัณฑิตแพทย์ให้เป็นผู้สร้างการเปลี่ยนแปลง และวิธีการจัดการเรียนการสอนสำหรับศาสตร์ระบบสุขภาพ (35 views)
- 04) Teaching Health Systems Science (HSS) in Postgraduate Education (34 views)
- 05) Assessment of Health Systems Science Competencies in Medical Schools (84 views)
- 06) Message from Deputy Dean (27 views)
- 07) Students’ voice: Students' Perspectives on Lesson in Health Systems Science (17 views)
- 08) เชิด - ชู: บทสัมภาษณ์ผู้ได้รับรางวัลทุนเจ้าพระยาพระเสด็จสุเรนทราธิบดี ประจำปี 2566 (17 views)
- 09) สับ สรรพ ศัพท์: ระบบนิเวศของการดูแลสุขภาพ, การดูแลรักษาแบบเน้นคุณค่า, สุขภาพประชากร, และวิธีคิดเชิงระบบ (26 views)
- 10) Educational movement: Health Systems Science Education in Thai Health Science Schools (19 views)
- 11) SHEE sharing: แพทย์ยุคใหม่กับแนวคิดพลเมืองของระบบสุขภาพ (16 views)
- 12) SHEE Research - Considering the Belmont Report in Health Science Education Research (2): Justice (19 views)
- 13) Click&Go with Technology - How Should We Teach Health Systems Science in the Age of Artificial Intelligence (28 views)
- 14) SHEE Podcast (20 views)
- 15) Gallery (18 views)
03
ปัจจัยสำคัญที่มีอิทธิพลต่อการหล่อหลอมบัณฑิตแพทย์ให้เป็นผู้สร้างการเปลี่ยนแปลง (Change Agent) และวิธีการจัดการเรียนการสอน (Teaching Methods) สำหรับศาสตร์ระบบสุขภาพ (Health Systems Science)
ภาควิชาเวชศาสตร์ป้องกันและสังคม
คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล

1. เพื่อวิเคราะห์และสังเคราะห์ปัจจัยสำคัญที่มีอิทธิพลต่อการหล่อหลอมบัณฑิตแพทย์ให้เป็นผู้สร้างการเปลี่ยนแปลง โดยพิจารณาผ่านกรอบแนวคิดเชิงเปรียบเทียบว่า หากเป้าหมายคือการสร้างแพทย์ให้เป็น ผู้นำการเปลี่ยนแปลง (change agent) หรือเปรียบเสมือน "ต้นไม้ใหญ่" ที่ให้ร่มเงาและเป็นที่พึ่งพิงแก่ประชาชนและระบบสาธารณสุขได้นั้น กระบวนการจะต้องเริ่มต้นตั้งแต่:
-
-
-
-
- การคัดเลือก "เมล็ดพันธุ์": ซึ่งเปรียบได้กับปัจจัยก่อนเข้าศึกษา ที่นักศึกษาแต่ละคนมีติดตัวมา
- "การดูแลบ่มเพาะ": หมายถึง ปัจจัยภายในโรงเรียนแพทย์ ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการหล่อหลอมนักศึกษาให้กลายเป็น "ต้นกล้า" ที่แข็งแรง
- "สภาพแวดล้อม": คือ ปัจจัยภายนอกและบริบทของระบบสุขภาพ ที่ต้นกล้าเหล่านี้ต้องเผชิญและเติบโตต่อไป
-
-
-

ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการหล่อหลอมบัณฑิตแพทย์ให้มีศักยภาพในการเป็น "ผู้สร้างการเปลี่ยนแปลง" (change agent) ในระบบสุขภาพ ซึ่งเป็นบทบาทที่นอกเหนือไปจากการบริบาลผู้ป่วยรายบุคคล แต่ครอบคลุมถึงความสามารถในการวิเคราะห์ปัญหาและขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงเชิงระบบสุขภาพที่ตนเองเข้าไปมีส่วนร่วมได้ ซึ่งอาจเป็นระบบสุขภาพระดับจุลภาค ระดับกลาง หรือ ระดับมหาภาค (micro , meso , macro -level health systems) สามารถจำแนกปัจจัยดังกล่าวได้เป็น 3 มิติหลัก ได้แก่ (1) ปัจจัยก่อนเข้าศึกษาในโรงเรียนแพทย์ ซึ่งเป็นคุณลักษณะเฉพาะบุคคลของผู้เรียน (2) ปัจจัยภายในโรงเรียนแพทย์และสถาบันการศึกษา ซึ่งครอบคลุมการออกแบบหลักสูตร ประสบการณ์เรียนรู้ และวัฒนธรรมองค์กร และ (3) ปัจจัยภายนอก ซึ่งหมายถึงบริบททางสังคมและโครงสร้างของระบบสาธารณสุขโดยรวม
ตารางสรุปปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการสร้างบัณฑิตแพทย์ในฐานะผู้สร้างการเปลี่ยนแปลง
มิติของปัจจัย | ปัจจัยหลัก | ประเด็นสำคัญ |
1. ปัจจัยก่อนเข้าศึกษา (pre-medical school) | คุณลักษณะเฉพาะบุคคล (individual attributes) |
|
2. ปัจจัยภายในโรงเรียนแพทย์ (intra-medical school) | การออกแบบหลักสูตร (intentional curriculum) |
|
ประสบการณ์เรียนรู้ (learning experiences) |
| |
การมีพี่เลี้ยงและต้นแบบ (mentorship & role models) |
| |
วัฒนธรรมและโครงสร้างสถาบัน (institutional culture & structure) |
| |
3. ปัจจัยภายนอก (external factors) | ระบบสาธารณสุขและบริบทสังคม (health system & social context) |
|
2.2 การเรียนรู้ผ่านประสบการณ์จริงและการเรียนรู้เชิงเปลี่ยนแปลง (Experiential & Transformative Learning) เป้าหมายต้องเปลี่ยนจากการให้ความรู้ (informative) ไปสู่ การเรียนรู้ที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง (transformative) โดยเปลี่ยนบทบาทนักศึกษาจาก "ผู้สังเกตการณ์" มาเป็น "ผู้มีส่วนร่วม" ที่สร้างคุณค่าให้ระบบสุขภาพได้จริง เช่น การทำโครงการพัฒนาคุณภาพในโรงพยาบาล หรือการลงพื้นที่ทำงานในชุมชน ซึ่งกิจกรรมเหล่านี้ช่วยพัฒนาทักษะการคิดเชิงระบบและความเข้าใจในปัญหาได้อย่างลึกซึ้ง [1,3,4] โดยควรสนับสนุนทั้งกิจกรรมในและนอกหลักสูตร ซึ่งเนื้อหาส่วนนี้จะนำไปขยายความในส่วนที่สองของบทความนี้


2.4 วัฒนธรรมและโครงสร้างองค์กรที่สนับสนุน (Supportive Culture & Structure) สถาบันต้องสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวย ทั้งในด้านทรัพยากรและการยอมรับโครงการของนักศึกษา ขณะเดียวกันก็ต้องจัดการกับอุปสรรคภายใน เช่น ภาระงานที่มากเกินไป หรือการประเมินผลที่เน้นแต่ความรู้ทางคลินิก นอกจากนี้ "หลักสูตรแฝง (hidden curriculum)" หรือวัฒนธรรมองค์กรโดยรวม ต้องส่งเสริมค่านิยมด้านการพัฒนาระบบอย่างแท้จริง [1]
ด้านหนึ่ง ระบบที่สนับสนุนการพัฒนาคุณภาพจะสร้าง "โอกาส" ให้นักศึกษาได้ฝึกฝนทักษะการเป็นผู้นำและการสร้างการเปลี่ยนแปลง [5] แต่ในทางกลับกัน ระบบสุขภาพก็สามารถเป็น "อุปสรรค" สำคัญได้เช่นกัน ผ่านโครงสร้างที่ตายตัว, วัฒนธรรมที่มุ่งเน้นแต่การรักษามากกว่าปัจจัยทางสังคม, และภาระงานที่หนักหน่วง ปัจจัยเหล่านี้บั่นทอนแรงจูงใจและจำกัดศักยภาพของแพทย์ในการพัฒนาระบบในภาพรวม [6,7]
ท้ายที่สุดแล้ว แม้โรงเรียนแพทย์จะบ่มเพาะ "ต้นกล้า" ที่ดีเพียงใด แต่หากต้องเติบโตในสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้ออำนวย ก็อาจทำให้แพทย์รุ่นใหม่ที่มีอุดมการณ์แรงกล้าต้องเผชิญกับภาวะหมดไฟ ยอมจำนน หรือลาออกจากระบบไป ดังนั้น การสร้างแพทย์ให้เป็น "ผู้สร้างการเปลี่ยนแปลง" จึงไม่ได้เป็นหน้าที่ของสถาบันการศึกษาเพียงอย่างเดียว แต่เป็นความรับผิดชอบของทุกภาคส่วนในการสร้างระบบนิเวศที่เกื้อหนุนให้พวกเขาสามารถเติบโตและสร้างประโยชน์ให้แก่ส่วนรวมได้อย่างเต็มศักยภาพต่อเนื่องจากบทความของ รศ. ดร. นพ.บวรศม ลีระพันธ์ Teaching Health Systems Science and Systems Thinking for Complex Problem-Solving in Health Systems ที่ได้จำแนกองค์ความรู้ด้านศาสตร์ระบบสุขภาพ (Health Systems Science) ออกเป็น 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ ขอบเขตความรู้หลัก (core domains), ขอบเขตความรู้ข้ามสาขา (cross-cutting domains) และ ขอบเขตความรู้เพื่อการประยุกต์ใช้ (linking domain) ซึ่งครอบคลุมทั้งในระดับจุลภาค (micro) ระดับกลาง (meso) และระดับมหภาค (macro)
จากการทำ curriculum mapping และแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับคณาจารย์จากหลายสถาบัน พบว่าปัจจุบันโรงเรียนแพทย์ส่วนใหญ่มีการจัดการเรียนการสอนในระดับ "ความรู้ความจำ" (Knows) ค่อนข้างครบถ้วน และ "ความเข้าใจ" (Knows How) ได้ค่อนข้างดี แต่ความท้าทายที่สำคัญคือ จะทำอย่างไรให้นักศึกษาแพทย์สามารถพัฒนาศักยภาพไปจนถึงระดับที่ "แสดงให้เห็นว่าทำได้" (Shows How) และ "นำไปปฏิบัติจริง" (Does) ได้ ซึ่งเป้าหมายดังกล่าวสอดคล้องกับแนวคิด "การเรียนรู้ที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง" (Transformative Learning) [4] และการสร้าง "บทบาทที่สร้างคุณค่าเพิ่มให้แก่ระบบ" (Value-Added Student Roles) โดยเปลี่ยนนักศึกษาจากการเป็นเพียง ผู้สังเกตการณ์ (observer) ไปสู่การเป็น ผู้มีส่วนร่วมเชิงรุก (active contributor) [1,3] เพื่อให้การเรียนการสอนเกิดประสิทธิภาพสูงสุด จำเป็นต้องใช้หลากหลายวิธีผสมผสานกัน ในเนื้อหาส่วนถัดไป จะเป็นการนำเสนอตัวอย่างรูปแบบการเรียนการสอนสำหรับศาสตร์ระบบสุขภาพที่สามารถทำได้ในรูปแบบต่าง ๆ พร้อมรายละเอียด ข้อดี ข้อเสีย และตัวอย่างการประยุกต์ใช้
เป็นการสอนพื้นฐานเพื่อสร้างความเข้าใจในหลักการและทฤษฎีหลักของศาสตร์ระบบสุขภาพในภาพกว้าง เหมาะสำหรับการปูพื้นฐานความรู้ให้กับนักศึกษาจำนวนมากในเวลาจำกัด
- ข้อดี: สามารถถ่ายทอดความรู้พื้นฐานให้ผู้เรียนจำนวนมากได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ข้อเสียและข้อจำกัด: เป็นการเรียนรู้แบบรับฝ่ายเดียว (passive learning) นักศึกษาอาจไม่สามารถนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ได้จริงหากขาดการเรียนรู้รูปแบบอื่นร่วมด้วย
นักศึกษาสามารถเรียนรู้ผ่านสื่อการสอนที่หลากหลายได้ตามความสนใจและตามอัธยาศัย ซึ่งช่วยส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต
- ตัวอย่างการประยุกต์ใช้:
- Reflective Writing: หลังจากร่วมกิจกรรมต่างๆ [8] ให้นักศึกษาเขียนสะท้อนการเรียนรู้ (reflection) ถึงความรู้สึกของตนเองต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และวิเคราะห์ว่าหากตนเองเป็นแพทย์ในสถานการณ์นั้น จะนำความรู้ศาสตร์ระบบสุขภาพมาประยุกต์ใช้เพื่อเปลี่ยนแปลงผลลัพธ์ได้อย่างไร
- ข้อดี: มีความยืดหยุ่นสูง นักศึกษาสามารถเรียนรู้ได้ตามความเร็วของตนเอง
- ข้อเสียและข้อจำกัด: ต้องการแรงจูงใจในตนเองสูง และอาจขาดปฏิสัมพันธ์กับผู้สอนและเพื่อนร่วมชั้น
นักศึกษาเรียนรู้ผ่านการสังเกตการณ์การทำงานของบุคลากรต้นแบบในระบบสุขภาพ ซึ่งช่วยให้เห็นภาพการทำงานจริงและซึมซับวัฒนธรรมองค์กร
- ตัวอย่างการประยุกต์ใช้:
- ให้นักศึกษาติดตาม (shadowing) ผู้อำนวยการโรงพยาบาล หรือหัวหน้าทีมบริหารความเสี่ยง 1 วัน เพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับภาวะผู้นำ (leadership) และการบริหารจัดการองค์กร [9]
- ข้อดี: ให้มุมมองเชิงลึกเกี่ยวกับการทำงานจริงในบทบาทที่นักศึกษาอาจไม่เคยสัมผัส
- ข้อเสียและข้อจำกัด: เป็นการเรียนรู้แบบรับฝ่ายเดียว และคุณภาพขึ้นอยู่กับบุคคลต้นแบบ (role model) ที่นักศึกษาสังเกตการณ์
เป็นการใช้สถานการณ์จริงหรือสถานการณ์จำลองที่ซับซ้อน เพื่อกระตุ้นให้นักศึกษาเชื่อมโยงความรู้ทางคลินิกเข้ากับมิติของระบบสุขภาพ
- ตัวอย่างการประยุกต์ใช้:
- กรณีศึกษาแพทย์จบใหม่: ใช้เรื่องราวของแพทย์จบใหม่ในโรงพยาบาลชุมชนที่รู้สึกท้อแท้จากภาระงานและผู้ป่วยโรคเรื้อรังที่ไม่ปฏิบัติตามคำแนะนำ เพื่ออภิปรายถึงปัญหาสุขภาพประชากร (population health) และความสำคัญของการพัฒนาคุณภาพ (quality improvement) ทั้งระบบ [10]
- ข้อดี: ส่งเสริมการคิดวิเคราะห์อย่างมีวิจารณญาณและเชื่อมโยงความรู้หลายศาสตร์เข้าด้วยกัน
- ข้อเสียและข้อจำกัด: อาจต้องใช้เวลาในการอภิปรายมาก และต้องมีผู้สอนที่มีทักษะในการชี้แนะประเด็นที่ซับซ้อน
เป็นกระบวนการเรียนรู้เชิงรุกที่เน้นการทำงานร่วมกันเป็นทีมเพื่อแก้ปัญหาที่ซับซ้อน เหมาะกับหัวข้อที่ต้องการการวิเคราะห์จากหลายมุมมอง และส่งเสริมการเรียนรู้แบบสหวิชาชีพ (Interprofessional Education - IPE)
- ข้อดี: ส่งเสริมการเรียนรู้เชิงรุก (active learning) พัฒนาทักษะการทำงานเป็นทีม การสื่อสาร และการคิดวิเคราะห์
- ข้อเสียและข้อจำกัด: ต้องใช้เวลาในการเตรียมการมาก การหาเวลาว่างให้ตรงกัน และต้องการผู้สอน (facilitator) ที่มีทักษะในการกระตุ้นการอภิปราย
เป็นการใช้แนวคิดและเครื่องมือของกระบวนการคิดเชิงระบบ (systems thinking) ในการวิเคราะห์และทำความเข้าใจปัญหาสุขภาพที่ซับซ้อนในระดับกลุ่มประชากร
- ตัวอย่างการประยุกต์ใช้:
- ให้นักศึกษาร่วมกันสร้าง แผนภาพวงจรเชิงสาเหตุ (Causal Loop Diagram) เพื่อวิเคราะห์ปัญหาความแออัดในห้องฉุกเฉิน โดยระบุปัจจัยต่าง ๆ ที่สัมพันธ์กัน เช่น การเข้าถึงบริการปฐมภูมิ, นโยบายการจ่ายเงิน, และพฤติกรรมผู้ป่วย เพื่อมองหาจุดคานงัด (leverage points) ที่สามารถแทรกแซงได้อย่างมีประสิทธิภาพ [11]
- ข้อดี: พัฒนาทักษะการคิดเชิงระบบในระดับสูง ช่วยให้มองเห็นภาพรวมและความเชื่อมโยงของปัญหาที่ซับซ้อน
- ข้อเสียและข้อจำกัด: เป็นแนวคิดที่ค่อนข้างเป็นนามธรรม ต้องการผู้สอนที่มีทักษะสูงในการนำกระบวนการ และต้องอาศัยข้อมูลที่ดีในการวิเคราะห์
เป็นการสร้างสถานการณ์เสมือนจริงให้นักศึกษาได้ฝึกฝนทักษะในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยก่อนนำไปใช้กับผู้ป่วยจริงหรือประชาชน
- ตัวอย่างการประยุกต์ใช้:
- Quality Improvement and Health Management LEAN Hospital Simulation เป็นการจำลองการจัดการระบบการรักษาผู้ป่วย โดยใช้หลักการ Lego Serious Play

-
- สมัชชาสุขภาพจำลอง (Mock Health Assembly): จัดสถานการณ์จำลองให้นักศึกษาได้ฝึกฝนกระบวนการขับเคลื่อนนโยบายสุขภาพ (policy cycle) โดยให้นักศึกษารับบทบาทเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (stakeholders) ที่หลากหลาย ฝึกวิเคราะห์ปัญหาสุขภาพโดยใช้เครื่องมือของกระบวนการคิดเชิงระบบ (systems thinking) และฝึกทักษะการสื่อสาร การเจรจาต่อรอง และการสร้างความร่วมมือเพื่อผลักดันข้อเสนอเชิงนโยบาย
- ข้อดี: เป็นพื้นที่ปลอดภัยให้นักศึกษาได้ฝึกฝนและเรียนรู้จากความผิดพลาดโดยไม่เกิดอันตรายกับผู้ป่วยจริง หรือในการต่อรองกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหากทำโดยนักศึกษาแพทย์ที่ยังไม่มีประสบการณ์อาจส่งผลเสีย
- ข้อเสียและข้อจำกัด: มีค่าใช้จ่ายสูง อาจขาดความสมจริงในบางบริบท และต้องใช้บุคลากรจำนวนมากในการดำเนินการ
เป็นการบูรณาการการเรียนรู้เข้ากับการฝึกปฏิบัติงานทางคลินิกจริง ทำให้นักศึกษาสามารถเชื่อมโยงทฤษฎีกับการปฏิบัติได้อย่างเป็นรูปธรรม
- ตัวอย่างการประยุกต์ใช้:
- Bedside Teaching: ขณะดูแลผู้ป่วยเด็กโรคธาลัสซีเมีย อาจารย์แพทย์ตั้งประเด็นอภิปรายถึงความแตกต่างระหว่าง LPRC และ LDPRC ไม่ใช่แค่ในมิติทางคลินิก แต่รวมถึงมิติทางเศรษฐศาสตร์สาธารณสุข (health economics) และความเป็นธรรม (equity) ในการเข้าถึงการรักษาภายใต้สิทธิสุขภาพที่แตกต่างกัน [12]
-
- Home Visit : จากเดิมที่เน้นทางมิติสุขภาพของผู้ป่วยที่ออกเยี่ยมร่วมกับทีมเพียงอย่างเดียว มาเป็นตั้งประเด็นอภิปรายว่าประเด็นการดูแลการแพทย์อย่างเป็นองค์รวมและครบวงจร การลงทุนในการป้องกันเปรียบเทียบกับงบประมาณปัจจุบันที่ใช้ไปกับการรักษา ในส่วนของประเด็นของ value-added role โดยสามารถเปลี่ยนบทบาทนักศึกษาแพทย์จากเดิมที่จะเป็นลักษณะ shadowing อาจารย์และสังเกตุ เป็นการเข้าร่วมและอภิปรายตั้งแต่ service morning conference ที่ทางทีมจะใช้เพื่อวางแผน แผนทางเยี่ยมบ้าน รวมถึงสามารถช่วยเหลือในด้านการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อวางแผลเชิงกลยุทธ์ในการสร้างเสริมสุขภาพในชุมชน
- ข้อดี: เป็นการเรียนรู้ที่สมจริงที่สุด (authentic learning) นักศึกษาได้เห็นความซับซ้อนของระบบสุขภาพจริง
- ข้อเสียและข้อจำกัด: เป็นการเรียนรู้ตามโอกาส (opportunistic) และคุณภาพขึ้นอยู่กับทักษะของอาจารย์แพทย์พี่เลี้ยง (preceptor)


นักศึกษาได้เรียนรู้เชิงลึกผ่านการทำโครงงานที่เกี่ยวข้องกับปัญหาจริงในระบบสุขภาพ ซึ่งช่วยพัฒนาทักษะการจัดการและการนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง
- ตัวอย่างการประยุกต์ใช้:
- Quality Improvement (QI) Project: ให้นักศึกษากลุ่มย่อยออกแบบและดำเนินโครงการพัฒนาคุณภาพโดยใช้วงจร PDSA (Plan-Do-Study-Act) เพื่อแก้ปัญหาที่พบในโรงพยาบาล เช่น "โครงการลดระยะเวลารอคอยในคลินิกผู้ป่วยนอก" หรือ "โครงการเพิ่มอัตราการล้างมือก่อนและหลังสัมผัสผู้ป่วย" [10]
-
- Community Health Project: นักศึกษาร่วมกับทีมสุขภาพและผู้นำชุมชน ทำ "การประเมินความต้องการด้านสุขภาพของชุมชน" เพื่อระบุปัญหาสุขภาพที่สำคัญและร่วมวางแผนแก้ไข [13]
- ข้อดี: เป็นการเรียนรู้เชิงลึกที่นักศึกษาได้ลงมือปฏิบัติจริง สร้างผลกระทบที่เกิดขึ้นจริง และพัฒนาทักษะการบริหารโครงการ
- ข้อเสียและข้อจำกัด: ใช้เวลามาก และต้องการการสนับสนุนและคำปรึกษาจากอาจารย์อย่างใกล้ชิด หรือหากมีเวลาให้ทำสั้น อาจจะไม่ได้ประสิทธิภาพเท่าที่ควร
ส่งเสริมให้นักศึกษามีส่วนร่วมในงานวิจัยด้านศาสตร์ระบบสุขภาพ เพื่อพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์และการประเมินหลักฐานเชิงประจักษ์
- ตัวอย่างการประยุกต์ใช้:
- นักศึกษามีส่วนร่วมในโครงการวิจัยของอาจารย์ เช่น "การวิเคราะห์ความเหลื่อมล้ำทางสุขภาพ (health disparities) ของผู้ป่วยเบาหวานในเขตเมืองและชนบท" โดยใช้ข้อมูลจากฐานข้อมูลของโรงพยาบาล [13] หรือ "การประเมินผลกระทบของนโยบาย Stroke Fast Track ต่ออัตราการรอดชีวิตของผู้ป่วย"
- ข้อดี: พัฒนาทักษะการคิดเชิงวิพากษ์ (critical appraisal) และการประยุกต์ใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ได้อย่างลึกซึ้ง
- ข้อเสียและข้อจำกัด: อาจไม่เหมาะกับนักศึกษาทุกคน และต้องการโครงสร้างพื้นฐานด้านการวิจัยและการสนับสนุนที่เข้มแข็ง
References
- Burnett E, Davey P, Gray N, Tully V, Breckenridge J. Medical students as agents of change: a qualitative exploratory study. BMJ Open Qual 2018;7(3):e000420.
- Nicolaou N, Nicolaou C, Nicolaou P, Nicolaides P, Papageorgiou A. Development of a leadership and management module for the undergraduate medical curriculum. BMC Med Educ 2024;24(1):1310.
- Skochelak SE, Hammoud MM, Lomis KD, Borkan JM, Gonzalo JD, Lawson LE, Starr SR, editors. Health systems science. 2nd ed. Philadelphia: Elsevier; 2021.
- กนกวรรณ ศรีรักษา, อรุณี ทิพย์วงศ์, สุดารัตน์ วิจิตรเศรษฐกุล, อนุพงษ์ สุธรรมนิรันด์, บรรณาธิการ. ศาสตร์ระบบสุขภาพสำหรับแพทยศาสตรศึกษา. นนทบุรี: สำนักงานบริหารโครงการร่วมผลิตแพทย์เพิ่มเพื่อชาวชนบท กระทรวงสาธารณสุข; 2562.
- American Academy of Family Physicians. Why we need to add health policy leadership to our skillset [Internet]. FPM. 2025 Mar [cited 2025 Sep]. Available from: https://www.aafp.org/pubs/fpm/issues/2025/0300/health-policy-leadership.html
- Gonzalo JD, Haidet P, Papp KK, Wolpaw DR, Moser E, Wittenstein RD, Wolpaw T. Educating for the 21st-century health care system: an interdependent framework of basic, clinical, and systems sciences. Acad Med 2017;92(1):35-9.
- Law M, Leung P, Veinot P, Miller D, Mylopoulos M. A qualitative study of the experiences and factors that led physicians to be lifelong health advocates. Acad Med 2016;91(10):1392-7.
- ทักษิณา ครบตระกูลชัย, ศุภชัย ครบตระกูลชัย. เรื่องเล่าเท้าความ: กุญแจดอกสำคัญที่ทำให้การเป็น “แพทย์” นั้นมีความหมาย. ใน: กนกวรรณ ศรีรักษา, อรุณี ทิพย์วงศ์, สุดารัตน์ วิจิตรเศรษฐกุล, อนุพงษ์ สุธรรมนิรันด์, บรรณาธิการ. ศาสตร์ระบบสุขภาพสำหรับแพทยศาสตรศึกษา. นนทบุรี: สำนักงานบริหารโครงการร่วมผลิตแพทย์เพิ่มเพื่อชาวชนบท กระทรวงสาธารณสุข; 2562. หน้า 1-6.
- ทักษิณา ครบตระกูลชัย, อธิคม สงวนตระกูล, สุรชัย สราญฤทธิ์ชัย. Leadership and Teamwork: การเป็นผู้นำ การทำงานเป็นทีม ทักษะจำเป็นที่ต้องเรียนรู้. ใน: กนกวรรณ ศรีรักษา, อรุณี ทิพย์วงศ์, สุดารัตน์ วิจิตรเศรษฐกุล, อนุพงษ์ สุธรรมนิรันด์, บรรณาธิการ. ศาสตร์ระบบสุขภาพสำหรับแพทยศาสตรศึกษา. นนทบุรี: สำนักงานบริหารโครงการร่วมผลิตแพทย์เพิ่มเพื่อชาวชนบท กระทรวงสาธารณสุข; 2562. หน้า 89-106.
- วาสนา หงษ์กัน, อนุพงษ์ สุธรรมนิรันด์. Quality Improvement: ปลูกฝังองค์ความรู้การพัฒนาคุณภาพให้แก่แพทย์ได้อย่างไร. ใน: กนกวรรณ ศรีรักษา, อรุณี ทิพย์วงศ์, สุดารัตน์ วิจิตรเศรษฐกุล, อนุพงษ์ สุธรรมนิรันด์, บรรณาธิการ. ศาสตร์ระบบสุขภาพสำหรับแพทยศาสตรศึกษา. นนทบุรี: สำนักงานบริหารโครงการร่วมผลิตแพทย์เพิ่มเพื่อชาวชนบท กระทรวงสาธารณสุข; 2562. หน้า 77-87.
- บวรศม ลีระพันธ์. Paradigm change in undergraduate health systems science education: การปรับกระบวนทัศน์เพื่อจัดประสบการณ์เรียนรู้วิทยาการระบบสุขภาพสำหรับนักศึกษาแพทย์. ใน: กนกวรรณ ศรีรักษา, อรุณี ทิพย์วงศ์, สุดารัตน์ วิจิตรเศรษฐกุล, อนุพงษ์ สุธรรมนิรันด์, บรรณาธิการ. ศาสตร์ระบบสุขภาพสำหรับแพทยศาสตรศึกษา. นนทบุรี: สำนักงานบริหารโครงการร่วมผลิตแพทย์เพิ่มเพื่อชาวชนบท กระทรวงสาธารณสุข; 2562. หน้า 35-63.
- วิน เตชะเคหะกิจ, ศรีกัญญา ชุณหวิกสิต. Health Economics. ใน: กนกวรรณ ศรีรักษา, อรุณี ทิพย์วงศ์, สุดารัตน์ วิจิตรเศรษฐกุล, อนุพงษ์ สุธรรมนิรันด์, บรรณาธิการ. ศาสตร์ระบบสุขภาพสำหรับแพทยศาสตรศึกษา. นนทบุรี: สำนักงานบริหารโครงการร่วมผลิตแพทย์เพิ่มเพื่อชาวชนบท กระทรวงสาธารณสุข; 2562. หน้า 143-66.
- ชานนท์ นันทวงศ์, สุดารัตน์ วิจิตรเศรษฐกุล. Population Health and Determinants of Health: เพราะอะไรแพทย์จึงต้องคำนึงถึงสุขภาพประชากรและปัจจัยกำหนดสุขภาพ. ใน: กนกวรรณ ศรีรักษา, อรุณี ทิพย์วงศ์, สุดารัตน์ วิจิตรเศรษฐกุล, อนุพงษ์ สุธรรมนิรันด์, บรรณาธิการ. ศาสตร์ระบบสุขภาพสำหรับแพทยศาสตรศึกษา. นนทบุรี: สำนักงานบริหารโครงการร่วมผลิตแพทย์เพิ่มเพื่อชาวชนบท กระทรวงสาธารณสุข; 2562. หน้า 107-22.
- American Hospital Association. The importance of physician leadership [Internet]. AHA Trustee Services. [cited 2025 Sep]. Available from: https://trustees.aha.org/articles/864-the-importance-of-physician-leadership
- กนกวรรณ ศรีรักษา, อรุณี ทิพย์วงศ์, สุดารัตน์ วิจิตรเศรษฐกุล, อนุพงษ์ สุธรรมนิรันด์, บรรณาธิการ. ศาสตร์ระบบสุขภาพสำหรับแพทยศาสตรศึกษา. พิมพ์ครั้งที่ 1. นนทบุรี: สำนักงานบริหารโครงการร่วมผลิตแพทย์เพิ่มเพื่อชาวชนบท กระทรวงสาธารณสุข; 2562.
- บุญรัตน์ วราชิต. Patient Safety: ความปลอดภัยของผู้ป่วยสำคัญต่อวิชาชีพแพทย์อย่างไร. ใน: กนกวรรณ ศรีรักษา, อรุณี ทิพย์วงศ์, สุดารัตน์ วิจิตรเศรษฐกุล, อนุพงษ์ สุธรรมนิรันด์, บรรณาธิการ. ศาสตร์ระบบสุขภาพสำหรับแพทยศาสตรศึกษา. นนทบุรี: สำนักงานบริหารโครงการร่วมผลิตแพทย์เพิ่มเพื่อชาวชนบท กระทรวงสาธารณสุข; 2562. หน้า 65-76.
- ประพันธ์ สมพร. Healthcare Policy. ใน: กนกวรรณ ศรีรักษา, อรุณี ทิพย์วงศ์, สุดารัตน์ วิจิตรเศรษฐกุล, อนุพงษ์ สุธรรมนิรันด์, บรรณาธิการ. ศาสตร์ระบบสุขภาพสำหรับแพทยศาสตรศึกษา. นนทบุรี: สำนักงานบริหารโครงการร่วมผลิตแพทย์เพิ่มเพื่อชาวชนบท กระทรวงสาธารณสุข; 2562. หน้า 135-41.
- รายิน อโรร่า. Introduction to HSS education: เราจะเรียนรู้ Health Systems Science กันอย่างไร. ใน: กนกวรรณ ศรีรักษา, อรุณี ทิพย์วงศ์, สุดารัตน์ วิจิตรเศรษฐกุล, อนุพงษ์ สุธรรมนิรันด์, บรรณาธิการ. ศาสตร์ระบบสุขภาพสำหรับแพทยศาสตรศึกษา. นนทบุรี: สำนักงานบริหารโครงการร่วมผลิตแพทย์เพิ่มเพื่อชาวชนบท กระทรวงสาธารณสุข; 2562. หน้า 23-34.
พญ. เพ็ญนภา กวีวงศ์ประเสริฐ
ภาควิชาเวชศาสตร์ป้องกันและสังคม
คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล
email :